เฉื่อยชาพาล้มเหลว

เฉื่อยชาพาล้มเหลว

โดย แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ [26-9-2008]

ความสำเร็จกับความล้มเหลวดูเหมือนจะมีแค่เส้นบาง ๆเป็นตัวกั้นเอาไว้เท่านั้น เพราะยิ่งทุกวันนี้คนเราเริ่มเก่งใกล้เคียงกัน ฉลาดเท่าๆกัน แถมยังใช้เครื่องไม้เครื่องมือใหม่หาข้อมูลต่างๆได้เหมือนกัน ก็น่าจะทำให้ความแตกต่างระหว่างคนน้อยลงไปอีกมาก

แต่เอาเข้าจริงๆแล้วกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะนับวันเราจะเห็นความแตกต่างของคน “สำเร็จ” กับ “ล้มเหลว” ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และคนล้มเหลวก็ดูจะผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาสู่ความสำเร็จได้ยากกว่าเดิม

ลองมาวิเคราะห์ดูถึงปัจจัยที่ทำให้คนล้มเหลวดูแล้ว ผมเชื่อว่าแต่ละคนล้วนมีชนักติดหลังเหมือนๆกันอยู่ประการหนึ่งนั่นคือนิสัย “เรื่อยเฉื่อย” ที่แก้ไม่หายสักที จนบานปลาย แม้ว่าจะรู้ตัวว่ามีนิสัยนี้อยู่แต่ก็แก้ไม่ได้สักที

ทุกวันนี้เราจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดนิสัยเรื่อยเฉื่อย เพราะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเรื่อยๆเฉื่อยๆแบบนี้เป็นการใช้ชีวิตอยู่ใน “เขตปลอดภัย” ที่ดีเนื่องจากไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย และไม่ต้องกดดันตัวเองในการแสวงหาความสำเร็จ

คนเรื่อยเฉื่อยจึงมีแนวโน้มที่จะยอมรับการใช้ชีวิตไปวันๆของตัวเอง ส่วนใหญ่มักเชื่อว่าชีวิตเป็นแบบนี้เพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้เขาจะดูยอมรับตัวเองได้ดีแต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาคงแสวงหาความสำเร็จในชีวิตได้ยากเย็น

ตรงกันข้ามกับคนอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่พอใจในตัวเอง แม้จะมีข้อจำกัดในชีวิตมากมายแต่ก็เข้าใจและหาทางเอาชนะ และยังกล้าเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนจำพวกนี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่าแบบแรกหลายเท่า

ส่วนตัวผมแล้ว “คนเรื่อยเฉื่อย” แม้จะมีแนวโน้มไปสู่ความล้มเหลว แต่ก็ยังน่าห่วงกว่า “คนล้มเหลว” หลายเท่า เพราะคนล้มเหลวหากไม่ใช่คนเรื่อยเฉื่อย เขาก็ย่อมได้เรียนรู้หนทางการแก้ไขในอนาคต แถมยังได้บทเรียน และรู้จักทางเลือกต่างๆในการแสวงหาความสำเร็จได้ต่อไป

ในขณะที่คนเรื่อยเฉื่อย เมื่อล้มเหลวส่วนใหญ่ก็มักจะโทษทุกสรรพสิ่งรอบตัว โดยไม่คิดวิเคราะห์หาจุดอ่อนของตัวเอง สุดท้ายแล้วก็มักจะยอมรับความล้มเหลวนั้นๆโดยไม่คิดแก้ไขอะไร เพราะคิดว่าเป็นธรรมชาติของชีวิตตัวเอง และพร้อมจะล้มเหลวต่อได้อีกในอนาคต

คิดถึงตัวเอง และลองเหลียวมองคนรอบข้างดูว่ามีใครมีลักษณะแบบนี้ไหม อาจจะพบได้มากมาย เพราะคนเรื่อยๆเฉื่อยๆแบบนี้มีบุคลิกชัดเจน ที่สังเกตได้จากนิสัยพื้นฐานที่มีอยู่เหมือนๆกันดังต่อไปนี้คือ

ข้อแรก “สงสารตัวเอง” แม้จะอยู่ในภาวะที่ตัดสินใจแก้ไขอะไรได้ แต่ก็ไม่ทำและสงสารตัวเองไปเรื่อยๆ เช่นไม่ชอบงานที่ทำ แต่ก็ไม่ปริปากบ่น เพราะดีกว่าตกงานและทำไปได้เรื่อยๆ ถึงจะเกลียดงานก็ได้แต่สงสารตัวเองแล้วยอมรับสภาพไปวันๆ

สุดท้ายแล้วก็ต้องหาทางให้กำลังใจตัวเอง และปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าตัวเองยังใช้ได้โดยไม่คิดจะแก้ไขอะไรทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าการทู่ซี้ทำงานที่ไม่ชอบ ก็ย่อมไม่มีทางได้ดี หรือประสบความสำเร็จไปได้แน่ๆ

ข้อสอง “มันไม่ใช่ความผิดของฉัน” เราจะเห็นนิสัยนี้เยอะไปหมด ลองคิดถึงประโยค “ผมทำไม่ได้เพราะนายไม่สนับสนุน” หรือ “เราทำพลาดไปเพราะเศรษฐกิจไม่ดี” หรือ “เพราะครอบครัวไม่ช่วยเหลือ” ฯลฯ สารพัดคำอ้าง ยกเว้นตัวเองที่ทำทุกอย่างดีหมดแล้ว

คนแบบนี้เชื่อว่าสภาพแวดล้อมสำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่จริงๆแล้ว “ตัวเอง” นั่นแหละที่สำคัญที่สุด และส่งผลกระทบถึงความสำเร็จและความล้มเหลวให้กับบริษัทได้โดยตรง ซึ่งนับเป็นทัศนคติที่อันตรายอีกข้อหนึ่ง

ยังเหลืออีก 4 ข้อที่ต้องขอยกยอดไปในฉบับหน้านะครับ
เปิดประเด็นไว้ใน “บิสิเนสไทย” ฉบับที่แล้ว ถึงนิสัย “เรื่อยเฉื่อย” ที่อาจติดตัวเราอยู่จนกลายเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย ซึ่งแน่นอนครับว่านิสัยแบบนี้คงไม่ส่งเสริมให้เราก้าวหน้าไปได้แน่ๆ เพราะความเรื่อยเฉื่อย
มีแต่พาให้เราวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ และอาจต้องจมอยู่กับความล้มเหลวจนชาชิน

นิสัยที่ก่อให้เกิดความเฉื่อยชานั้นมีอยู่ไม่กี่ข้อครับ ซึ่งผมเกริ่นเอาไว้แล้ว 2 ข้อ คือการ “การสงสารตัวเอง” แต่ไม่คิดทำอะไรให้ดีขึ้น กับ “มันไม่ใช่ความผิดของฉัน” เพราะมัวแต่โทษทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกคนรอบตัวโดยไม่เคยพิจารณาตัวเองเลย

วันนี้มาต่อกันในข้อที่ 3 “เพราะฟ้าลิขิตมา” ซึ่งเราจะเห็นคนแบบนี้ได้บ่อยๆ ในสังคมบ้านเรา เช่น
มีพ่อกินเหล้า ตัวเองก็ต้องกินเหล้าไปด้วย หรือเรียนมาน้อย ก็ทำได้แค่นี้ไม่มีโอกาสแสวงหาความสำเร็จ เพราะโชคชะตาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครแก้ไขได้

คนจำพวกนี้จะเชื่อในพลังที่มองไม่เห็นของดวงชะตา ยีน หรือดีเอ็นเอ ที่สืบทอดมาจากครอบครัว และเอาข้อจำกัดในอดีตเป็นตัวกักขังความสำเร็จในอนาคต เช่น พื้นฐานครอบครัว การศึกษา ไอคิว ฯลฯ

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะไม่มีทางก้าวผ่านข้อจำกัดของตัวเองได้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่คนเกิดมาเป็นแบบนี้ก็ต้องใช้ชีวิตแบบนี้เท่านั้น ชีวิตจึงค่อยๆ เดินไป ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ แทนที่จะหาจุดเด่นของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อไป

ข้อ 4 “ต้อง Perfect เท่านั้น” ซึ่งฟังดูดี เช่น “ถ้ายังเตรียมไม่พร้อม ผมจะไม่ทำเด็ดขาด” หรือ “ถ้า
ผมจะทำเค้ก มันต้องอร่อยที่สุด ไม่งั้นผมจะไม่ทำเลย” ฯลฯ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคนกลุ่มนี้จะอาศัยความสมบูรณ์แบบนั้นเป็นเหตุผลที่จะไม่ทำอะไรใหม่ๆต่างหาก

ในโลกธุรกิจงานบางอย่างเราอาจจำเป็นต้องทำไปก่อนเพื่อเรียนรู้และแก้ปัญหาในภายหลัง และคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะมาจากการเรียนรู้และเริ่มทำทันที แทนที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมซึ่งอาจจะสายเกินไป

นิสัยแบบนี้จึงเป็นการหลอกตัวเองโดยอาศัยมาตรฐานที่สูงลิบเป็นเครื่องมือในการอ้างที่จะไม่เดินหน้าทำสิ่งใดเลย เพราะไม่มีทางที่ตัวแปรทั้งหมดจะพร้อม 100% ก่อนเริ่มงาน การลงมือทำและค่อยๆปรับแก้ไขกันไปจึงน่าจะได้ผลดีกว่า

ข้อ 5 “ไม่มีปัญญาทำ” โดยคนจำพวกนี้มักไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำงานที่ต้องการได้ โดยมีสาเหตุสารพัด ทั้งการศึกษา ครอบครัว สติปัญญา ฯลฯ จนไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำอะไรสำเร็จได้

ผมเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่แล้วถ้าเชื่อว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ก็มักจะทำไม่ได้จริงๆ หรือไม่ก็ไม่กล้า
ลงมือทำทั้งที่ในวัยเด็กนั้น เราเคยกล้าคิด กล้าทำ มามากมายหลายอย่าง เช่น กล้าคลาน กล้าเดิน หรือแม้แต่วิ่ง จนหกล้ม ฟกช้ำดำเขียว ก็ยังลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้

เมื่อโตขึ้นมาถึงวัยเรียนเราก็เคยกล้าคิด กล้าทดลอง ฯลฯ แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับกลัวไปหมด
ทุกเรื่องซึ่งน่าเสียดายมาก ทั้งๆ ที่เรามีจุดแข็งอื่นๆ มากมายซ่อนอยู่แต่กลับถูกตัวเราเองมองข้ามไปจนต้องมาโฟกัสแต่จุดด้อยของตัวเองเท่านั้น

ข้อสุดท้ายคือ “หลอกตัวเอง” และคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ เช่นคนที่ติดบุหรี่ มีหลายคนที่คิดว่าการเลิกบุหรี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ จึงไม่รีบร้อนที่จะเลิกบุหรี่ แต่กลับสูบเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และคิดว่าจะเลิกดูสักวันหนึ่งแต่กลับไม่เคยได้ลงมือทำเลย

เหมือนกับคนอ้วนที่มีปัญหาน้ำหนักตัว ก็อาจคิดว่าการลดน้ำหนักเป็นเรื่องง่าย จะทำเมื่อไรก็ได้
จึงไม่คิดจะทำในวันนี้หรือเร็วๆ นี้ สุดท้ายก็ปล่อยตัวเองจนอ้วนขึ้นอีกหลายเท่า ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการหลอกตัวเองและหนีปัญหาไปเรื่อยๆ

ทั้ง 6 ข้อนี้ผมเชื่อว่าเป็นนิสัยที่คนเราทั่วไปอาจมีติดตัวอยู่บ้างแต่น่าจะหาทางกำจัดออกจากตัวได้ไม่ยาก แต่อย่าเผลอ “เรื่อยเฉื่อย” จนติดเป็นนิสัยทั้ง 6 ข้อ ซึ่งจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ยากเย็น เราจึงต้องกล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาชนะใจตัวเองอยู่เสมอนะครับ

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *