GEORGE SOROS & QUANTUM FUND ตอน 1

GEORGE SOROS & QUANTUM FUND ตอน 1 ข้าคือพระเจ้า

ข้าคือพระเจ้า
อะไรที่ทำให้เด็กชาย จอร์จ โซรอส ซึ่งเติบโตขึ้นท่ามกลางครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูงแห่งกรุงบูดาเปสต์ และเป็นเพียงเด็กธรรมดาสามัญที่มีมิตรสหายมากหน้า รักการเล่นกีฬา และประพฤติปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับเด็กในวัยเดียวกัน เชื่อว่า เขาคือพระเจ้า?
การที่เขาเก็บจินตนาการในวัยเด็กเป็นความลับ ทำให้คนคุ้นเคยหรือผู้ที่รู้จักเขาในวัยเด็ก จำไม่ได้ว่าเขาเคยอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเลยสักคนเดียว พวกเขาจำได้เพียงว่า โซรอสมักจะชอบตั้งตัวเป็นใหญ่เหนือเด็กคนอื่นเสมอ
จอร์จถือกำเนิดที่กรุงบูดาเปสต์ ในปี 1930 โดยที่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป็นวันที่และเดือนอะไร เพราะไม่เคยได้รับการเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นในชีวประวัติหรือในรายงานข่าวที่ออกโดยองค์กรที่เขาเป็นผู้สนับสนุนก็ตาม และก็ไม่มีใครทราบเหตุผลเช่นกัน
พี่น้องคนเดียวของเขามีชื่อว่า พอล เกิดก่อนเขาสองปี ส่วนทิวาดาร์ บิดาของเขา คือต้นแบบบทบาทที่สำคัญสำหรับบุตรชายคนที่สองเลยทีเดียว เขามีอาชีพเป็นทนายความ จอร์จเรียนรู้ว่าบิดาของตนนั้นเป็นคนที่ฉลาด แม้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์และใช้ความฉลาดของตนในการเอาเปรียบคนอื่นก็ตาม เด็กชายจอร์จก็ยังคงให้ความเคารพผู้เป็นบิดามากที่สุด
ทิวาดาร์มองว่าการอยู่รอดทางกายภาพมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด การมีเงินมากเกินไปก็มีผลเสียเช่นกัน เพราะมันกระตุ้นให้คนอื่น ๆ อยากได้เงินส่วนที่เป็นความมั่งคั่งส่วนเกิน ความมั่งคั่งมากเกินไปสามารถทำให้กลายเป็นคนอ่อนแอ และไม่สามารถต่อสู้เพื่อความอยู่รอดได้ ทิวาดาร์ถ่ายทอดสิ่งที่มีค่ายิ่งแก่ลูกชายของเขา ซึ่งพวกเขาก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี และในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตซึ่งเป็นช่วงที่เขามีความมั่งคั่งเกินกว่าที่ใครคาดคิด จอร์จ โซรอส ก็ยังคงไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อการทำเงินได้เป็นจำนวนมาก ๆ แต่อย่างใด
ในบ้านที่มีความเป็นฮังกาเรียนมากกว่ายิว ซึ่งก็เหมือนกับครอบครัวยิวฮังกาเรียนที่เป็นชนชั้นกลางระดับสูงทั่วไป ที่มักไม่ค่อยสบายใจกับพื้นฐานทางศาสนาของตนเอง โซรอสเคยเล่าให้กับผู้คุ้นเคยในภายหลังว่า “ผมเติบโตขึ้นมาในบ้านคนยิวที่ต่อต้านความเป็นยิว”

เรียนรู้ศิลปะการอยู่รอดจากสงคราม
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติขึ้นในเดือนกันยายน ปี 1939 จอร์จมีอายุได้เก้าขวบ แต่ชีวิตของคนในกรุงบูดาเปสต์ในปี 1943 ดำเนินไปอย่างปกติจนน่าประหลาด เพราะในขณะนั้นกองทัพพันธมิตรเริ่มรุกสู่ภาคใต้ของอิตาลีแล้ว ในระหว่างที่บูดาเปสต์ยังคงเป็นอิสระจากการโจมตีใด ๆ นั้น พื้นที่ส่วนอื่นของยุโรปกลับตกอยู่ในบรรยากาศการสู้รบอย่างรุนแรง
ในฤดูใบไม้ผลิปี 1944 ชุมชนชาวยิวทั่วยุโรปถูกกวาดล้างอย่างหนักโดยกองทัพนาซี ทำให้เกิดความกลัวว่าชาวยิวจำนวนหนึ่งล้านคนซึ่งอาศัยอยู่ในฮังการี ซึ่งเป็นชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป จะเป็นเป้าหมายต่อไป และในช่วง 12 เดือนถัดมา ชาวยิวในกรุงบูดาเปสต์ถูกสังหารไป 400,000 ราย เพื่อให้แน่ใจว่าลูกชายจะไม่ถูกพวกนาซีจับได้ ทิวาดาร์จึงจัดการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลฮังกาเรียนเพื่ออนุญาตให้ลูกชายปลอมตัวเป็นหลายชายของเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ไม่ใช่ยิว และได้ซื้อเอกสารประจำตัวปลอมให้กับจอร์จ ด้วยเอกสารนี่เอง ที่ทำให้เด็กชายจอร์จมีชีวิตรอดมาได้
ทิวาดาร์ได้สอนบทเรียนที่มีค่ายิ่งเกี่ยวกับศิลปะแห่งการอยู่รอด บทเรียนที่หนึ่งคือ เป็นการถูกต้องที่จะเสี่ยง และบทเรียนที่สองคือ ถ้าจะเสี่ยง จงอย่าทุ่มสุดตัว นั่นคือจงอย่าทุ่มเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมันอาจหมายถึงความโง่เขลา ไม่บังเกิดผลและเป็นสิ่งไม่จำเป็นแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อเขาประกอบอาชีพในโลกธุรกิจในเวลาต่อมา ทำให้จอร์จมีสายตาที่ชัดเจนมากขึ้น

ชีวิตการเรียนและการทำงานในช่วงเริ่มต้น
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1945 จอร์จได้กลับเข้าเรียนหนังสืออีกครั้งหลังจากสงครามสงบ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะมีอายุเพียง 15 ปี แต่เขาก็เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่สามารถรอดพ้นจากความหฤโหดของพวกนาซีคือ เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเดินทางออกจากฮังการีด้วยตัวเอง ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1947 ด้วยวัยเพียง 17 และมุ่งมั่นที่จะศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งต้องขอบคุณบิดาของเขาที่ทำให้จอร์จมีเงินพอสำหรับการเดินทาง แต่เมื่อไปถึงลอนดอนเด็กหนุ่มต้องหาเลี้ยงตัวเอง เขาทำงานเป็นบริกรในภัตตาคารในย่านเมย์เฟย์ของมหานครลอนดอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกขุนนางและดาราภาพยนตร์ มารับประทานอาหารเย็นและเต้นรำตลอดคืน ในบางคราวที่การเงินของเขาร่อยหรอจนเกือบถึงจุดศูนย์ จอร์จยังชีพอยู่ได้ด้วยการกินอาหารที่เหลือ
ในปี 1949 จอร์จได้ลงทะเบียนเป็นนักศึกษาที่สถาบัน ลอนดอน สกูล ออฟ อิโคโนมิค หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า แอลเอสอี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ มันเป็นสถานที่ในอุดมคติสำหรับจอร์จ โซรอส ซึ่งต้องการฝึกฝนเรื่องเศรษฐศาสตร์เชิงปฏิบัติ และมีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาแนวโน้มความเป็นไปของการเมืองโลกในปัจจุบัน ซึ่งโซรอสสามารถจบหลักสูตรสำหรับนักศึกษาปริญญาตรีได้ในเวลาเพียงสองปี
อาจกล่าวได้ว่าแอลเอสอีเป็นสถานที่สำหรับการฝึกอบรมที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนอย่างโซรอส ผู้ซึ่งดำรงชีพในฐานะนักลงทุนในเวลาต่อมา แต่เขาก็ไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดการเงินที่สถาบันดังกล่าว และที่จริงก็แทบจะไม่รู้เลยว่ามีตลาดดังกล่าวอยู่ในโลก ครั้นเมื่อสำเร็จการศึกษา เขาจึงเริ่มตระหนักว่ามีเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถหาได้จากการลงทุน โดยจะต้องเข้าไปทำงานกับวานิชธนกิจให้ได้ ดังนั้นเขาจึงร่างจดหมายถึงวานิชธนกิจทุกแห่งในลอนดอน ด้วยความหวังว่าโชคชะตาของตนจะเปลี่ยนไป และในที่สุด ซิงเกอร์ แอนด์ ฟรีด์แลนเดอร์ได้เสนองานในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมแก่เขา ซึ่งเขาก็รับทำด้วยความยินดี
ในที่สุด จอร์จ โซรอส ก็กลายเป็นเทรดเดอร์ หรือนักค้าขายหุ้นที่มีความเชี่ยวชาญในการค้ากำไรหุ้นทองคำ โดยอาศัยความได้เปรียบจากความแตกต่างด้านราคาในตลาดหลายแห่ง แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก อย่างไรก็ตามในปี 1956 วานิชธนากรหนุ่มก็เชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องโยกย้าย และที่ ๆ เขาต้องการจะไปก็คือ นิวยอร์ก ซิตี้ นั่นเอง

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *