E-COMMERCE กับกฏหมาย (6)
E-COMMERCE กับกฏหมาย (6)
เรื่องเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจศาล
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการค้าทางอินเตอร์เน็ทคือ การกำหนดว่าจะใช้กฎหมายใด และศาลใดเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดี เนื่องมาจากการเจรจาการค้าบนอินเตอร์เน็ทระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายนั้นอยู่ในเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกัน และอยู่ภายใต้กฎหมายที่ต่างกันด้วย จึงเป็นสิ่งสามัญธรรมดาสำหรับสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศที่จะเลือกกฎหมายอังกฤษมาใช้ปฏิบัติในสัญญา แต่ก็มิได้หมายว่าศาลอังกฤษจะเป็นศาลที่จะรับพิจารณาคดี ต้องนำกฎอันซับซ้อนของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมาใช้ด้วย …..
(ประโยคต่อไปนี้ เพื่อนเค้าไม่ได้แปลมาค่ะ ดิฉันจะแปลเพิ่มเติมนะคะ )
มีประเด็นบางอย่างที่สำคัญมาก ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่แล้ว ในยุโรป กฎพิ้นฐานของขอบเขตแห่งอำนาจรัฐนั้นภูมิลำเนาซึ่งจำเลยอยู่ในขณะนั้นหรือที่ตั้งของทรัพย์สินของจำเลยในประเทศที่กระบวนการทางกฎหมายเริ่มต้นขึ้น โดยลักษณะทั่วไปของ e-commerce กฎพิ้นฐานข้อนี้มีอิทธิพลมากที่สุด และทำให้มีความรู้สึกสะกิดใจเล็กน้อยในการฟ้องบริษัทในประเทศของตัวเองซึ่งเป็นประเทศที่มิใช่ภูมิลำเนาที่จำเลยอยู่ในขณะนั้นหรือไม่ได้เป็นสถานที่ตั้งทรัพย์สินของจำเลย เพราะสถานการณ์จะต่างกัน หมายความว่าถ้าประเทศที่มีการฟ้องเกิดขึ้นนั้น เป็นประเทศซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยหรือเป็นที่ๆทรัพย์สินของจำเลยตั้งอยู่ จึงสามารถบังคับใช้หรือทำตามคำพิพากษาซึ่งพิจารณาโดยศาลต่างประเทศได้ แต่การบังคับใช้คำพิพาษาดังกล่าวสามารถใช้ได้ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศเท่านั้น แต่มันเป็นไปได้ยากในบางสถาณการณ์ซึ่งโจทก์พยายามที่จะบังคับใช้หรือทำตามคำพิพากษาในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยที่คำพิพากษานั้นออกโดยศาลของประเทศกำลังพัฒนา ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นกรณีที่เขาเห็นด้วยอย่างแท้จริงในสัญญาซื้อขายนั้น
หัวข้อเรื่องเขตอำนาจศาลกับ e-commerce มีความซับซ้อนมากถ้าเทียบกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศทั่วไป โดยสัญญาการค้าระหว่างประเทศนั้นโดยหลักแล้วจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจด้วยกันเองเท่านั้น แต่สำหรับ e-commerce ได้ครอบคลุมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภคด้วย กฎหมายอนุญาตให้ผู้บริโภคสามารถฟ้องผู้ขายได้ในประเทศของตนเองโดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐเพิ่มขึ้นในการบังคับผู้ขายให้ปฏิบัติตามคำตัดสินด้วย อันได้มีการบัญญัติแล้วว่าหนึ่งในลักษณะเด่นเฉพาะของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคคือ กฎเกณฑ์ความรับผิดโดยเด็ดขาดสำหรับสินค้าที่บกพร่อง อันก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน อีกนัยหนึ่งคือ หากเกิดคดีเกี่ยวกับการบาดเจ็บหรือความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินขึ้น ก็จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรบผู้บริโภคที่จะได้รับคำพิพากษาที่เหมาะสมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องยากที่จะฟ้องให้ผู้ผลิตสินค้า ปฏิบัติตามความรับผิดโดยเด็ดขาด หากไม่มีความช่วยเหลือจากรัฐ เมื่อมีภูมิลำเนาต่างกันและเป็นการกระทำตามกฎหมายรัฐอื่น อีกทั้งประเทศกำลังพัฒนาหลายๆประเทศมีมาตรฐานของความรับผิดโดยแท้ (ความรับผิดโดยเด็ดขาด)ที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกับในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ทางเทคนิคที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสภาพหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ทางเทคนิคมักจะถูกนำมาใช้ในการแก้ต่างในการอ้างสิทธิ์เพื่อให้รับผิดในสินค้า ที่เรียกว่า “สภาพการณ์ในฝีมือ the state of the art” หากผู้ประดิษฐ์ไม่สามารถที่จะค้นพบความบกพร่องเนื่องมาจากความจำกัดทางด้านทรัพยากร(ทรัพยากรทางการผลิต)และประสบการณ์ เช่นนั้นจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย หากแต่การตรวจสอบสิ่งผลิตโดยเฉลี่ย เป็นเป้าหมายที่นำมาใช้กับผู้ผลิตมากกว่าทรัพยากรและประสบการณ์โดยเฉพาะของผู้ผลิตแต่ละคน อย่างไรก็ตามยังไม่ปรากฎถึงความเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบสิ่งผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วได้โดยเท่าเทียมกัน เรื่องการตรวจสอบเป็นเรื่องสำคัญมากนับแต่มันเป็นสิ่งที่สามารถสรุปความผิดทางอาญาของเจ้าของธุรกิจที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขความปลอดภัยเบื้องต้น ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้ผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนารับผิดชอบตามกฎหมายภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยเบื้องต้น แต่ไม่ใช่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหา คือ การบังคับเรื่องความรับผิดโดยเด็ดขาดของผู้ผลิตสินค้าที่ขายโดยตรงผ่านทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งผู้ผลิตอยู่ในต่างประเทศ จึงอยู่ภายใต้กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ดังนี้แล้วผู้ที่นำเข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบในสินค้าที่บกพร่อง ซึ่งการขายของผ่านทางอินเตอร์เน็ทนั้นโดยส่วนมากจะทำการส่งของทางไปรษณีย์ผ่านบริษัทขนส่งที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ในสินค้าแต่อย่างใดยกเว้นแต่เพียงในส่วนของค่าไปรษณีย์ หรือค่าขนส่งเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดหวังให้สำนักงานไปรษณีย์หรือผู้ขนส่งรับผิดโดยเด็ดขาดในสินค้าที่บกพร่องนั้น
ความยุ่งยากในการบังคับใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้ซื้อและผู้ขายในศาลระหว่างประเทศมิใช่จำกัดเฉพาะสัญญากับผู้บริโภคเท่านั้น หากยังรวมไปถึงสัญญาระหว่างธุรกิจด้วยกันด้วย อย่างไรก็ดีธุรกิจเหล่านี้ได้ทำการสร้างกลไกการทำงานร่วมกันขึ้นมา อย่างเช่นการไกล่เกลี่ยและการตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการเพื่อยุติข้อโต้แย้ง หากแต่ว่าการเจรจาทางธุรกิจในการค้าทางอินเตอร์เน็ทนั้น หลายๆบริษัทเล็ก และกลางมิได้มีความสามารถในการต่อรองและความชำนาญในวิธีการเจรจาสัญญาที่เท่าเทียมกัน อันการต่อรองและวิธีการเจรจาสัญญา เป็นเรื่องสามัญในกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ถึงกระนั้นการค้าทางอินเตอร์เน็ทยังมีจุดเด่นอยู่ที่ว่าอินเตอร์เน็ทมีหนทางมากมายในการเจรจาโดยผู้ให้บริการไกล่เกลี่ยและการตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการผ่านทางอินเตอร์เน็ท