Business Plan : Risk Management
Business Plan : Risk Management
การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจ
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจในปัจจุบันต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าหลายบริษัทได้ให้ความสำคัญในด้านการบริหารความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น เพราะการที่ธุรกิจจะลงทุนในสิ่งใดแล้ว ผลที่ธุรกิจต้องการก็คือผลตอบแทนสูงสุด หรือมีกำไรสูงสุด แต่การที่ธุรกิจจะมีกำไรสูงสุดหรือมีผลตอบแทนสูงสุดเท่านั้นยังคงไม่พอในการบริหารจัดการธุรกิจในยุคปัจจุบัน การบริหารธุรกิจในปัจจุบันจะเน้นที่ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นสำคัญ เพราะการที่บริษัทมีกำไรที่มากหรือผลตอบแทนสูงไม่ได้แสดงถึงผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้รับประโยชน์สูงสุดด้วย แต่หากมองในมุมที่กลับกัน ถ้าผู้ถือหุ้นมีความมั่งคั่งดี แสดงว่าธุรกิจนั้นมีการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
หากเราจะเริ่มต้นในการวัดความเสี่ยงอย่างง่ายๆ เราคงต้องเริ่มพิจารณาจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน
ความเสี่ยงของธุรกิจ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสิ่งที่บริษัทคาดว่าจะเกิดขึ้น แต่ผลกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ตั้งแต่แรก เช่นบริษัทคาดว่าในปีนี้จะทำกำไรได้สูงกว่าปีอื่นๆ แต่ผลการดำเนินการออกมาไม่เป็นไปดังที่คาดเอาไว้ แสดงว่าการคาดการณ์ของบริษัทนั้นมีความเสี่ยง สาเหตุที่ทำให้บริษัทไม่ได้กำไรตามที่คาดการณ์ไว้นั้นอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น สถานการณ์ทางการตลาด ราคาวัตถุดิบ การผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้การค้า ฯลฯ ซึ่งจะต้องทำการวิเคราะห์ต่อไป
ดังนั้น หากธุรกิจใดสามารถประมาณการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ ธุรกิจนั้นก็จะสามารถบริหารจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน เมื่อบริษัทสามารถประเมิณค่าความเสี่ยงได้แล้วนั้น บริษัทก็จะสามารถพยายามปรับลดค่าความเสี่ยงให้เข้าสู่ค่าความเสี่ยงที่บริษัทสามารถยอมรับได้ โดยการปรับค่าความเสี่ยงนั้น อาจทำได้โดยการลดกิจกรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในอนาคต เช่น ลดการสต็อกสินค้าเกินความจำเป็น เพราะจะก่อให้เกิดความสูญเสีย เมื่อบริษัทเกิดอัคคีภัย หรือราคาสินค้าดังกล่าวนั้นมีราคาที่ลดลงในอนาคต หรือในทางกลับกัน บริษัทอาจเพิ่มกิจกรรมที่ทำให้บริษัทสามารถปกป้องไม่ให้เกิดค่าเสี่ยงขึ้น เช่น การซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า การซื้อหรือขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ฯลฯ
การวัดหาค่าความเสี่ยงนั้น เราสามารถใช้เครื่องมือทางการคำนวณ เพื่อช่วยในการวัดหาค่าความเสี่ยงได้ เช่น ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard Deviation) ค่าเบต้า (Beta) ฯลฯ
หากเราจะเริ่มต้นในการวัดความเสี่ยงอย่างง่ายๆ เราคงต้องเริ่มพิจารณาจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน ว่าการทำธุรกิจในแต่วันนั้นมีความเสี่ยงเพียงใด และเราจะสามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวได้หรือไม่ สมมติหากเราเป็นธุรกิจประกอบร้านอาหาร ยอดขายในแต่ละวันนั้นจะมียอดขายที่ไม่สม่ำเสมอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของวัน เช่น ร้านอาหารมักจะขายดีในช่วงวันศุกร์ ถึงวันอาทิตย์ เพราะเป็นช่วงวันที่คนโดยทั่วไปนิยมใช้เป็นวันพบประสังสรรค์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมันเรียน ครอบครัว ฯลฯ แต่ในช่วงของวันจันทร์ ถึงวันพฤหัสบดี ร้านอาหารจะมียอดขายที่ต่ำกว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดพิเศษในเทศกาลต่างๆ
หากเราเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและวันที่เรากำลังจะพิจารณากันนั้นเป็นวันศุกร์ และเป็นวันสิ้นเดือน (เงินเดือนออก) การประมาณการของร้านอาหารโดยทั่วไปจะต้องประมาณการว่ากิจการในวันนี้จะต้องขายดี แต่การประมาณการยอดขายนั้นอาจไม่เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ ด้วยหลากหลายสาเหตุ เช่น สภาพภูมิอากาศ สภาพการจราจร ฯลฯ ดังนั้นความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารอาจเกิดขึ้นได้โดย การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพอากาศเช่น ในช่วงฤดูฝนตกในวันใดวันนั้นจะมียอดขายต่ำกว่าปกติ
ดังนั้นการประมาณการยอดขายในแต่ละวัน ตลอดจนผลกำไรในแต่ละวันของร้านอาหารจะต้องมีการประเมิณขึ้น เพื่อประมาณการยอดขายวันดังกล่าวมีโอกาสที่จะเกิดฝนตกขึ้นการประมาณการยอดขายจะเปลี่ยนไปจากสภาวะปกติ ซึ่งการประมาณการนั้น โดยปกติยอดขายของร้านอาหารจะต้องต่ำกว่าการที่มีสภาพภูมิอากาศปกติ
จะเห็นได้ว่าเมื่อผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพภูมิอากาศ ร้านอาหารก็จะเกิดความเสี่ยงขึ้น เพราะรายได้และผลตอบแทนเกิดความไม่แน่นอนตามสภาพของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
ที่มา : http://smesmart.is.in.th/