Amway ตอน 2

Amway ตอน 2 ก่อนการก่อตั้งธุรกิจ.

เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง 2 ต่างไปขึ้นทะเบียนทหาร พวกเขาต่างก็ได้เป็นทหารอากาศจนกระทั่งเลิกสงคราม ในระหว่างสงครามมีครั้งหนึ่งพวกเขาได้ลาหยุดตรงกัน และวันนั้นพวกเขาก็ได้คุยกันถึงเรื่องที่จะร่วมธุรกิจด้วยกันเมื่อสิ้นสุดสงคราม แล้วพวกเขาก็ทำการตกลงกันว่าจะเปิดธุรกิจบริการการบินวูลเวอรีน ซึ่งจะเป็นโรงเรียนสอนวิชาการบินและบริการส่งของทางอากาศที่
สวนสาธารณะคอมสต๊อก ใกล้เมืองแกรนด์แรปิดส์
แต่เนื่องจาก Van Andel ปลดประจำการก่อน Rich Devos หลายเดือน เขาจึงทำทำหน้าที่
บุกเบิกในธุรกิจครั้งนั้นไปล่วงหน้าก่อน ส่วน Devos ในขณะนั้นเขายังอยู่ต่างประเทศ แต่เขาก็ได้เขียน
จดหมายไปถึงพ่อเขานำเงินที่เขาออมไว้ $700 ไปให้ Van Andel เพื่อเป็นใช้เป็นเงินลงทุนในกิจการ
เมื่อ Devos กลับจากต่างประเทศ โรงเรียนก็ใกล้จะพร้อมเปิดสอนแล้ว และเมื่อเขาได้รับลูกค้ารายแรก และทำการทำสัญญาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พบว่าทางวิ่งที่สนามบินเล็กนั้นยังสร้างไม่เสร็จ ยังไม่มีอะไรเลย นอกจากหล่มโคลนใหญ่ๆ พวกเขาจึงต้องรีบทำการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยการซื้อทุ่นลอยมา เนื่องจากมีแม่น้ำสายหนึ่งทอดขนานกับสนามบิน แล้วนำทุ่นลอยนั้นมาใช้ทำเป็นลานบินและลานจอด
นอกจากปัญหาทางวิ่งแล้ว ปัญหาสำนักงานก็ยังสร้างไม่เสร็จทันเปิด ดังนั้นพวกเขาก็เลยแก้ปัญหา โดยการไปซื้อเล้าไก่มาจากชาวนาที่ถนนนั่น เอามาแขวนไว้เหนือลานบินทาสีขาวเข้า แล้วแขวนป้ายไว้อย่างโก้หรูว่า บริการทางอากาศวูลเวอรีน และนับจากนั้นธุรกิจของพวกเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แต่เนื่องจากธุรกิจการบินนั้นปล่อยเวลาว่างให้กับพวกเขามากเกินไป พวกเขาจึงได้เปิดร้านเล็กๆขายแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นในสำนักงานของพวกเขา โดยร้านนี้มีครัวขนาดเข้าไปได้คนเดียว และมีที่ว่างสำหรับ ให้รถจอด ซึ่งมันเป็นต้นฉบับของสิ่งที่ภายหลังถูกเรียกว่า ร้านอาหารไดรฟ์-อิน แห่งแรกๆในแกรนด์แรปิดส์
ในวันเปิดร้านบริษัทไฟฟ้าได้รายงานมาว่า ไม่สามารถจะเดินไฟฟ้ามาได้ทันในวันนั้น ทั้ง 2 คนเลยทำการแก้ปัญหาโดยการไปเช่าเครื่องทำไฟฟ้าขนาดเล็กมาใช้ในวันเปิดร้านได้ทันเวลา และพวกเขาก็ได้แบ่งงานกันทำโดย Devos จะเป็นคนขายแฮมเบอร์เกอร์ ในขณะที่ Van Andel ทำการต้อนรถให้เข้ามาในร้าน หรือบางทีพวกเขาก็สลับหน้าที่กัน ต่อมาในภายหลังพวกเขาได้เล่าว่า ถ้าหากธุรกิจแฮมเบอร์เกอร์ไม่ได้ผล พวกเขาคงแยกทางกันก็ได้ เนื่องจากพวกเขาต่างก็ลงทุนในธุรกิจการบินจนหมดตัวไปแล้ว
หลังจากนั้น 2 ปี พวกเขาก็ขายธุรกิจแฮมเบอร์เกอร์ ไปโดยได้กำไรพอสมควร แล้วเงินที่ได้มาพวกเขาก็คิดที่จะนำเงินนั้นมาให้รางวัลกับตัวเอง โดยการออกไปผจญภัยในทะเลลึก
พวกเขานำเงินที่ได้มาไปซื้อเรือใบสามเสายาวสามสิบแปดฟุต ลำเก่าๆที่ชื่อว่า เอลิซาเบธ และเริ่มออกเดินทางจากนอร์วอลก์ รัฐคอนเนกติกัต แล่นเรือเที่ยวไปในมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นเวลา 1 ปี ทั้งสองวางแผนไว้ว่าจะแล่นเรือใบไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ผ่านทะเลแคริบเบียน และในที่สุดก็จะแล่นเลียบไปตามฝั่งทะเลของอเมริกาใต้
แต่การแล่นเรือในครั้งนั้นของพวกเขา เป็นการแล่นเรือครั้งแรก ดังนั้นมือหนึ่งของพวกเขาจะถือหนังสือ และอีกมือหนึ่งจะถือหางเสือ และปรากฎว่าพวกเขาหลงทาง หลงไปไกลถึงนิวเจอร์ซี่ จนกระทั่งเรือยามฝั่งสหรัฐฯหาพวกเขาไม่เจอ การที่พวกเขาหลงทางนั้น เนื่องจากพวกเขาเลี้ยวเรือผิดไป 2-3 ครั้ง ในตอนกลางคืน ผลสุดท้ายพวกเขาก็เลยแล่นเรือเข้าไปในบึงตรงไหนสักแห่งในแผ่นดินใหญ่ เมื่อเรือยามฝั่งไปพบพวกเขาเข้า หลังจากตามหาทั้งวัน พวกเรือยามฝั่งถึงกับแปลกใจที่ทั้งสองสามารถแล่นเรือเก่าๆ ลำนั้น จนสามารถเข้ามาถึงแผ่นดินส่วนนั้น เนื่องจากยังไม่เคยมีใครใช้เรือเก่าขนาดนั้นแล่นเข้ามาถึงที่นี่ได้
แต่พวกเขาก็ต้องการที่จะแล่นเรือต่อ จึงให้ยามฝั่งสอนการแล่นเรือให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ ก็สามารถเรียนรู้วิธีการแล่นเรือจนชำนาญ แต่พอจะออกทะเลอีกครั้ง ปรากฏว่าเรือของพวกเขารั่ว ดังนั้นพวกเขาจึงจมลงในทะเลที่ห่างจากฝั่งทางเหนือของคิวบาไป 10 ไมล์ แต่พวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากเรือบรรทุกสินค้าของสหรัฐจึงทำให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่
เมื่อขึ้นฝั่ง พวกเขาก็โทรเลขไปบอกพ่อแม่ว่า พวกเขาปลอดภัย พร้อมทั้งบอกให้พ่อแม่พวกเขาให้ช่วยรับเงินค่าประกันเรือใบให้ด้วย แล้วพวกเขาทั้งสองก็ทำการเดินทางกันต่ออีก ซึ่งพวกเขาใช้เวลาท่องเที่ยวต่ออีก 5 เดือน โดยไปท่องเที่ยวเกาะต่างๆ ไปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แล้วจึงค่อยกลับไปที่เมืองแกรนแรปิดส์
หลังจากพวกเขากลับจากการท่องเที่ยวแล้ว พวกเขาก็เกิดความรู้สึกอยากที่จะมีความสำเร็จ อยากที่จะมีความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันและถาวร ซึ่งประจวบเหมาะกับญาติห่างๆของ Van Andel ได้โทรศัพท์มาหาเขา โดยได้บอกว่าตอนนี้เขากำลังเริ่มธุรกิจใหม่อยู่ พวกเขาสนใจที่จะฟังไหม ถ้าสนใจเขาจะขับรถไปหา ซึ่งทั้งสองก็ตกลงในทันที
และในปี 1949 เมื่อทั้งสองได้คุยกับญาติของ Van Andel แล้ว ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ลงชื่อสมัครเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ ซึ่งบริษัทที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้ ชื่อ บริษัทผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ ซึ่งเป็นบริษัทขายตรง ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่แคลิฟอเนีย และผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์นี้ คือ อาหารเสริมชนิดแคปซูลที่ชื่อนิวตริไลต์ ขนาดบรรจุกล่อง ทานได้ 1 เดือน ราคากล่องละ $19.50
ในตอนนั้น คำว่า “ขายตรง” จะหมายถึง การที่สินค้าจะถูกนำออกตลาดโดยผู้แทนจำหน่ายขายให้แก่ลูกค้าโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง แต่พวกเขากับเข้าใจว่า การขายตรง คือ การเร่ขายสินค้าไปทีละบ้านๆ ซึ่งวิธีเร่ขายไปทีละบ้านๆนี้ ไม่ใช่วิธีของบริษัทผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์
ลูกค้ารายแรกของพวกเขา คือ ชายแก่ๆที่เปิดร้านขายเบียร์ และการที่แกซื้อนิวตริไลต์ 1 กล่องจากพวกเขา ก็เพราะว่าแค่ชอบพวกเขาเท่านั้นเอง และหลังจากวันนั้น 2 สัปดาห์ พวกเขาก็ขายไม่ได้เลยสักกล่องเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปก็คือ การเดินทางไปชิคาโก เพื่อไปประชุมผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ ซึ่งพวกเขาได้ฟังผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ ลี ไมติงเกอร์ พูด ได้ชมภาพยนต์เกี่ยวกับผลิต-ภัณฑ์นิวตริไลต์ และได้พูดคุยกับคนที่ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์มาหลายปี
ในระหว่างทางที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านนั้น พวกเขาก็นั่งคิดถึงสิ่งที่ประชุม นั่งคิดถึงผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ตลอดทาง และพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะคว้าโอกาสในเรื่องผลิตภัณนิวตริไลต์ไว้ให้เต็มที่ โดยเขาได้หยุดรถที่ปั๊มแห่งหนึ่งแล้วทำการขาย ผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ และเขาก็สามารถขายนิวตริไลต์ให้คนเติม
น้ำมันได้ 1 กล่อง แล้วพวกเขาก็เดินหน้าขายต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด
ธุรกิจขายนิวตริไลต์นั้นออกจะเป็นงานที่ง่ายๆ พอใช้ ผู้แทนจำหน่ายจะมอบหนังสือเล่มเล็ก ซึ่งบรรยายถึงสรรพคุณของอาหารเสริมเล่มหนึ่งให้แก่เพื่อนฝูง หรือเพื่อนบ้านของเขา หรือบางทีอาจจะนัดพบเพื่ออธิบายกันเป็นส่วนตัวก็ได้ ถ้าผู้จำหน่ายสามารถทำให้ใครเชื่อได้ในเรื่องความจำเป็นที่จะต้องกินอาหารเสริมได้ เขาก็จะได้ลูกค้า แล้วก็จัดส่งอาหารเสริมไปให้เดือนละ 1 กล่อง
ในสมัยนั้นต้องให้ผู้จำหน่ายคนใหม่ ขายให้ลูกค้าได้ยี่สิบห้าคนเสียก่อน จึงจะหาผู้แทนจำหน่ายคนอื่นๆ ต่อไปได้ เมื่อพวกเขาขายให้ลูกค้าได้ 25 คนแล้ว เขาจึงได้จัดการประชุมทั่วไปเพื่อหาคนมาเป็น
ผู้แทนจำหน่ายขึ้นเป็นครั้งแรกที่ห้องใต้ถุนของภัตตาคารเล็กๆที่สนามบินเก่าของแกรนด์แรปิดส์ และเขายังได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และหวังว่าจะได้รับความสนใจเป็นอย่างดี แต่ปรากฎว่ามีคนมาประชุมเพียง 8 คนเท่านั้นเอง แต่เมื่อพวกเขาชมภาพยนต์ไปได้เพียง 5 นาที คนทั้ง 8 คนต่างก็เดินออกไปทั้งหมดโดยไม่ได้บอกล่ำลาเลย พวกเขาจึงรู้สึกท้อใจ และคิดว่าจะทำธุรกิจนี้ต่อไปหรือไม่
แต่โชคยังดีที่มีผู้แทนจำหน่ายที่เด่นๆ หลายคนมาสมทบด้วย ทำให้เกิดพวกระดับหัวหน้าของเขาเองขึ้น วงงานก็กว้างขึ้น เขาจึงเปิดสำนักงานเล็กๆขึ้น ทำให้มีคนใหม่ๆมาร่วมงานด้วย แต่พวกเขาก็ยังต้องทำงานอย่างหนัก และต้องคอยกระตุ้นผู้แทนจำหน่ายอื่นๆ ให้ทำงานอย่างหนักด้วย
หลังจากที่พวกเขาทำงานนี้มาได้ 2 ปี พวกเขาก็เจริญก้าวหน้าขึ้นมากจนตัดสินใจที่จะลงทุนทำอย่างอื่นอีก จึงเริ่มจัดตั้งธุรกิจอย่างอื่นๆขึ้น คราวแรกทำเกี่ยวกับอาหารสุขภาพ และลูกค้านิวตริไลต์ก็ให้การต้อนรับอย่างสนอกสนใจ ดังนั้นเขาจึงเริ่มนำ ขนมปังสโตนมิลล์ อันเป็นขนมปังเพื่อสุขภาพที่เสนอ ขนมปังบด และอบส่งถึงบ้านด้วยบริการรถบรรทุก ความสำเร็จของงานขั้นนี้ ทำให้พวกเขาทดลอง
การบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการจำหน่ายขนมปังสโตนมิลล์ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ต่อจากนั้นเขาก็ได้ขยายกิจการไปในด้านใหม่ๆ ออกไปหลายๆ ด้าน จนส่งผลให้ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตกลงเล็กน้อย ส่วนธุรกิจขายอาหารสุขภาพก็สามารถทำกำไรได้เล็กน้อยและที่สำคัญคือ เขาขาดทุนจากธุรกิจของเล่นไม้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจตัดธุรกิจอื่นๆ ทิ้ง แล้วหันมาทุ่มเทในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์อีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้พวกเขาได้บทเรียนอย่างหนึ่ง คือ
“จงสำรวมใจมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ทำสำเร็จดีอยู่แล้วเพียงอย่างเดียว อย่าได้แบ่งแยกความสนใจไปหลายๆด้านเลย”
แต่โชคไม่ดีที่บริษัทผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์ ได้เกิดปัญหาภายในขึ้นมา โดยเป็นปัญหาระหว่างฝ่ายผลิต กับบริษัทไมติงเกอร์ และบริษัทคาสเซลเบอรี่ ซึ่งเป็นผู้จำหน่าย ปัญหาความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายได้ขยายออกเป็นการต่อสู้กันอย่างเต็มที่
Van Andel ซึ่งในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของผู้จำหน่ายชั้นนำของนิวตริไลต์ ได้พยายามทำให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกัน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ และดูเหมือนว่าปัญหานี้จะลุกลามไปไกลเกินแก้เสียแล้ว
ในปี 1958 บรรดาผู้แทนจำหน่ายได้รวมตัวกันเข้าเป็นองค์กรแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า American Way Association เพื่อแสวงหาจุดร่วมกันบางอย่าง ที่จะยับยั้งพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ในกลุ่มผู้นำของนิวตริไลต์
และขณะเดียวกัน Jay Van Andel และRich Devos ก็มองว่าหากบริษัทนิวตริไลต์ไม่สามารถเป็นผู้นำรับผิดชอบต่อผู้แทนจำหน่ายได้ เขาทั้ง 2 ก็พร้อมที่จะขึ้นมารับผิดชอบผู้แทนจำหน่ายในสายของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงได้ประกาศให้ผู้แทนจำหน่ายในสายของเขาฟังว่า เขาตั้งใจจะผลิตสินค้าของตัวเอง เพื่อที่พวกเราจะได้มีหนทางอื่นอีก นอกจากต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์นิวตริไลต์เพียงอย่างเดียว

Tags:

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *