“ไล่ตงจิ้น” ลูกขอทาน : ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต ตอนที่ 4


ชีวิตลำบาก

สำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะผมเคยเร่ร่อนมาก่อนเป็นสิบปี ผมว่าผมคงต้อง “กลับบ้านเก่า” ไปตั้งนานแล้ว ผมไม่เคยมีเวลาทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างจริงจัง จึงต้องใช้ความพยายามใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อพ่อออกไปขอทานตอนกลางคืน บางครั้งได้ทำเลไม่ดี พ่อจะใช้ให้ผมลุกออกไปเดินขอทานตามบ้านคนเดียว

ผมก็ถือหนังสือเดินท่องไปตามทางด้วย ไอ้พวกเด็กต้มตุ๋นนี่! ผมได้ยินแล้วก็เดินถอยออกมาด้วยความเสียใจ ไม่ให้เงินก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมต้องพูดดูถูกกันตลอดเวลา ดีที่ผมยังมีโลกส่วนตัวของผม โลกแห่งหนังสือ เหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ทุกวัน นานเข้าร่างกายก็ชักจะทนไม่ไหว พอถึงเวลาเดินกลับบ้านตอนเที่ยงคืน ผมก็มักจะเดินหลับไปตามทาง ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมสัปหงกจนพาพ่อตกลงไปในนาข้าว บางครั้งผมเดินชนเสาไฟฟ้าจนหัวปูดบวมก็มี

วันต่อมา ผมเดินหลับในอีกแล้ว พาทั้งพ่อทั้งตัวเองตกลงไปในคลองใหญ่ ตะเกียกตะกายเดินทวนกระแสน้ำเข้าไปหาพ่อ กว่าจะคว้าไม้เท้าพ่อไว้ แล้วพาพ่อปีนขึ้นฝั่งได้ ผมก็แทบแย่ ผมรู้สึกว่าตัวเองผิดเหลือเกิน ปากที่สั่นระริกเอ่ยคำขอโทษพ่อไปตลอดทาง วันหลังผมไม่กล้าอีกแล้ว ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว…”

พอกลับถึงบ้าน พ่อเอามือคลำดูที่กระเป๋า ปรากฏว่าเงินที่ขอทานด้วยความเหนื่อยยากมาทั้งวันได้ตกน้ำไปหมดแล้ว พ่อโมโหขึ้นมาแล้วคราวนี้ คว้าไม้ฟาดผมนับไม่ถ้วน ผมไม่กล้าร้องไห้มีเสียง ยอมก้มหน้ารับความเจ็บแต่โดยดี
พ่อตีผมจนตัวเองเริ่มเหนื่อย จึงสั่งให้ผมคุกเข่าลง จากนั้นก็หาเชือกมามัดนิ้วหัวแม่มือของผมทั้งสองข้างติดกันไว้จนแน่น แล้วดึงปลายเชือกข้างหนึ่งขึ้นแขวนไว้กับขื่อคอกหมู พอพ่อออกแรงดึงทีหนึ่ง ตัวผมก็ลอยสูงขึ้นจากพื้นทั้งแขนทั้งขา ผมถูกห้อยโตงเตงแขวนอยู่กลางอากาศ ในที่สุดผมก็ต้องร้องออกมา “พ่อ ปล่อยผมลงเถอะ โอย…มือผมจะหลุดแล้ว เจ็บจังเลย พ่อ ปล่อยผมลงเถอะ ผมไม่กล้าหลับอีกแล้วละ ผมจะเป็นเด็กดี ผมจะเชื่อฟังพ่อ”

ไม่ว่าพวกเราจะอ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่เป็นผล จะวิงวอนอย่างไรพ่อก็ยังใจแข็งเป็นหินอยู่อย่างเดิม จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสลบนั่นแหละ พ่อจึงเริ่มหายโกรธ กว่าพ่อจะยอมปล่อยให้ผมลงมาได้ ตอนนั้นผมก็แทบจะไม่รู้ตัวแล้ว
ผมนอนตาค้างอยู่บนเตียง บอกกับตัวเองในใจว่า “ผมต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตัวเองง่วงนอน ถึงจะเหนื่อยยังไงก็ต้องมีสติบังคับตัวเองไม่ให้หลับให้ได้ ห้ามหลับ ห้ามหลับ ห้ามเดินหลับในอีกเป็นอันขาด…”

ฆ่าตัวตาย

เด็กวัย 13 ขวบอย่างผม ต้องเผชิญกับพายุร้ายที่ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมจากไป ผมแทบมองไม่เห็นเลยว่าอนาคตผมจะไปในทางใด เมื่อกลับถึงบ้านเห็นคนในครอบครัวทีไร นึกถึงว่าต้องออกไปแสวงหาอาหารมายังชีพสำหรับชีวิตในวันพรุ่งนี้อีกสามมื้อแล้ว ผมก็รู้สึกว่าบ้านตัวเองคือนรกชัดๆ มีแต่จะลากให้ผมตกต่ำลงไป ลึกจนไม่มีที่สิ้นสุด

หลายครั้งที่ผมถึงกับอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย ผมเคยถือมีดออกจากเล้าหมูมากรีดข้อมือตัวเอง แต่กรีดอย่างไรก็ไม่เข้า เพราะมีดของเราเก่าคร่ำคร่าจนสนิมกินหมดแล้ว ผมเคยคิดจะผูกคอตาย อุตส่าห์ไปหาเชือกมาผูกที่ขื่อ เตรียมจะแขวนคอตายอยู่แล้ว แต่น้องชายปัญญาอ่อนของผมก็ดันวิ่งเข้ามาดึงเชือกไปเล่นเสียก่อน ผมถึงกับเคยคิดจะฆ่าทั้งครอบครัวให้ตายเสียหมดทีเดียว จะได้จบเรื่องจบราวกันเสียที เมื่อตัดสินใจแล้ว ผมก็แอบขโมยเศษเหรียญที่ไปขอทานกับพ่อ
ตั้งใจว่าจะใช้ยาฆ่าแมลงสักขวดมาปลดปล่อยชีวิตอันยากแค้นแสนเข็ญของพวกเรา

เงินแค่นี้ซื้อได้แค่ขวดเดียว ผมคิดในใจว่าขวดเดียวก็พอแล้วจึงถือกลับบ้านมา พอเข้ามาบ้าน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนทุกวัน ผมหยิบยาฆ่าแมลงออกมาจากกระเป๋านักเรียน เดินอย่างสงบเข้าไปที่ถังข้าวสาร แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาทีละหยดๆ ผมคิดว่าเดี๋ยวพอข้าวสุกแล้วก็ค่อยเทยาลงไปผสมกับข้าว อย่างนี้ทุกคนจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกันอีกต่อไป ข้าวในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ ฝาหม้อเริ่มขยับตามจังหวะของไอน้ำในหม้อ ราวกับจะเตือนผมว่าถึงเวลาแล้ว

คิดได้ดังนี้ น้ำตาก็ทะลักพรั่งพรูออกมา ผมแข็งใจจะเทยาฆ่าแมลงลงไป กำลังหมุนเกลียวฝาขวดออก พลันก็เห็นภาพของพี่สาวปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เห็นเธอถูกแมงดาลากกลับไปด้วยน้ำตานองหน้า เห็นเธอถูกพวกแมงดารุมทุบตีด้วยไม้ เห็นเธอรับแขกอยู่คนแล้วคนเล่า แม้วันนั้นของเดือนก็ไม่มีทางได้หยุดพัก…แล้วก็ยังเห็นเธอร้องไห้สะอื้นพูดกับผมว่า “ไม่เป็นไรหรอกอาจิ้น พี่เต็มใจเอง”…ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ตะโกนออกมาว่า “โอย!..โอย” พี่สาวยังไม่เคยคิดเสียดายชีวิตตัวเองเลย ขอแต่ให้คนทั้งบ้านมีชีวิตอยู่กันต่อไปเท่านั้น พี่เคยบอกว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงได้ใจดำอำมหิตอย่างนี้ ผมทำลงไปได้อย่างไร ถ้าเทียบกับพี่สาวแล้ว อย่างไรผมก็ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ยังได้อยู่บ้านของตัวเอง แล้วพี่ล่ะ ทั้งถูกทารุณถูกเหยียดหยามย่ำยีสารพัด จะไปไหนมาไหนก็ขาดอิสระ ถูกแม่เล้าดุด่า โดนพวกแมงดาทุบตี… พอคิดอย่างนี้แล้ว ผมกำหมัดชกลงที่อกตัวเองตื่นๆๆ อาจิ้น ตื่นเสียที!

ผมยกมือขึ้นปัดฝาหม้อออก วิ่งไปตะโกนสุดเสียงไปตลอดทาง วิ่งเสียจนอ่อนแรง ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบกอดตัวเองไว้ แล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น พอวันต่อมา ผมก็ต้องนึกเสียใจ เรียนแทบไม่รู้เรื่องเลย ผมนี่ช่างเลินล่อเสียจริง ไม่รู้ทำไมเอายาฆ่าแมลงไปซ่อนไว้ใต้เตียง ถ้าหากว่าแม่หรือน้องเกิดไปเปิดเล่นเข้า แล้วเผลอกินเข้าไปล่ะก็ เลิกเรียนปุ๊ป ผมก็รีบวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านทันที พอเข้ามาถึงประตูบ้าน เฮ้อ! โล่งอก แม่กับอาไฉยังอยู่ดีทั้งคู่ ผมกระโดดเข้าไปกอดพวกเขาไว้แน่น ผมกลัวพ่อจะเจอยาฆ่าแมลงที่ผมซ่อนเอาไว้ในใต้เตียง จึงรีบออกไปโยนทิ้งที่แม่น้ำหลังบ้าน ถ้าคนในบ้านตาย ผมคงทนไม่ได้ แต่หากผมตัดช่องน้อยแต่พอตัวฆ่าตัวตายไปคนเดียวแล้วล่ะก็ ใครเล่าจะมาช่วยดูแลพวกเรา

เขียนพู่กัน

วันหนึ่ง ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 ผมเห็นบอร์ดที่ข้างระเบียงติดประกาศผลงานการประกวดความสามารถด้านต่างๆ การประกวดวาดภาพและเขียนพู่กัน ผมรู้สึกชื่นชมเหลือเกิน แอบคิดอยู่ในใจว่าหากผลงานของตัวเองมีโอกาสได้แปะขึ้นไว้ที่นี่เหมือนพวกรุ่นพี่บ้างก็คงจะดี

ผมกลับตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องเตรียมฝึกหัดเขียนพู่กันให้สวยเอาไว้ เผื่อว่าพอขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 แล้ว จะได้ลงแข่งประกวดเขียนพู่กันบ้าง เก็บกิ่งไม้ที่มีขนาดพอเหมาะมาใช้แทนพู่กัน ใช้พื้นดินทรายเป็นกระดาษที่ไม่ต้องลงทุนหาซื้อ แล้วลงมือเขียนกับพื้น พอเขียนเสร็จก็ลบออกด้วยมือและเท้า แล้วเขียนใหม่อีก

วันต่อมาผมก็แอบใช้เวลาระหว่างที่ไปขอทาน แวบเข้าไปหาข้อมูลในร้านขายหนังสือ ในหนังสือจะบอกวิธีจับพู่กันอย่างไรให้ถูกต้อง จะต้องเริ่มลงเส้นอย่างไร ลากเส้นอย่างไร เก็บปลายพู่กันอย่างไร และมีข้อสำคัญควรระวังอย่างไรบ้าง เมื่อไม่มีเงินซื้อหนังสือ ผมจึงต้องเข้าไปยืนเปิดหนังสืออ่าน และท่องจำทีละข้อๆ แล้วมาฝึกต่อเอาเองที่โรงเรียน แต่กิ่งไม้ก็ไม่ใช่พู่กันอยู่ดี ไม่เป็นไร วันนี้เขียนร้อยตัว พรุ่งนี้ก็เพิ่มเป็นสองร้อยตัว ถ้ายังไม่สวยก็เขียนเพิ่มอีกร้อยตัว ขอเพียงแต่ให้ขยันฝึกฝน วันหนึ่ง ผมจะต้องเขียนตัวหนังสือได้สวยเหมือนในหนังสือแบบพู่กันให้ได้

ผมฝึกหนักอย่างนี้มาปีกว่า พอขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 คุณครูก็ส่งผมเข้าประกวดเขียนพู่กันจริงๆ ด้วย ผมเห็นนักเรียนคนอื่นล้วนแต่มีกล่องอุปกรณ์ที่สวยๆ กันทั้งนั้น พอก้มลงดูของที่ตัวเองถือมาบ้าง ช่างอนาถาเสียเหลือเกิน พู่กันของผมเป็นพู่กันชนิดราคาถูกที่สุดในร้านจานฝนหมึกก็เป็นชนิดราคาถูกที่สุดเหมือนกัน คงต้องอาศัยความสามารถเท่าที่ตัวเองมีเท่านั้นจึงจะสู้เขาได้ แต่เจ้าพู่กันของผมท้อแท้ก่อนผมเสียอีก เขียนไปก็ขนหลุดไป เวลาเขียนเสร็จแต่ละตัว ก็ต้องคอยหยุดดึงขนที่หลุดออกทีละเส้นสองเส้น

แต่ผมกลับเอาชนะนักเรียนรุ่นพี่ทุกคนในการแข่งขันครั้งนี้ได้ และได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเขียนพู่กันระดับโรงเรียนด้วย เมื่อเดินผ่านบอร์ดประกาศของโรงเรียนอีกครั้ง ผมเห็นผลงานของตัวเองได้ปิดประกาศขึ้นที่บอร์ดสำเร็จ ผมคิดในใจว่า ในที่สุดความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นจริงๆ จะมีคนสอนหรือไม่ก็ตาม ขอแต่ให้มีความเพียร ที่สุดแล้วก็จะต้องได้รับผลตอบแทนแน่นอน หลังจากได้รับรางวัลแล้ว ผมก็ไม่ได้ลำพองใจ ยังคงฝึกเขียนบนพื้นดินต่อไป จนถึงชั้นประถมปีที่ 6 ผมก็ยังได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเขียนพู่กันตลอดมา

มือเท้าเป็นระวิง

เตานี้มีไว้สำหรับหุงข้าว อีกเตาหนึ่งมีไว้สำหรับต้มน้ำให้คนในบ้าน ผมต้องอาศัยเวลาช่วงที่ข้าวยังไม่สุก วิ่งด่วนจี๋ไปตักน้ำที่บ่อหลังบ้านมาต้ม ถังน้ำของเราก็ใบเล็กนิดเดียว ผมต้องวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หลายหนทีเดียวกว่าจะได้น้ำพออาบกัน เมื่อน้ำเดือดแล้ว ผมต้องช่วยอาบน้ำก่อน มือเท้าต้องว่องไว ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว เดี๋ยวยังต้องออกไปขอทานอีก

พออาบน้ำเสร็จ ผมลองเปิดฝาหม้อข้าวดู อืม! ข้าวยังไม่ทันสุก ยังมีเวลาเหลือพอซักเสื้อผ้าได้อีกสักสองสามตัว พอกำลังเริ่มขยี้ผ้าเท่านั้น น้องชายสองคนก็ก่อคดีวิวาทกันขึ้น ผมต้องรีบเข้าไปห้ามศึกทันที แล้วเป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆ สองคนก็ก่อคดีวิวาทกันขึ้น ผมต้องรีบเข้าไปห้ามศึกทันที แล้วเป็นอะไรไม่รู้

เย็นนี้คงต้องกินข้าวตังกันแน่เลย ผัดผักอีกสักอย่างก็แล้วกัน มีดหั่นผักที่บ้านเราเก่าคร่ำคร่า จะหั่นผักก็แทบหั่นไม่เข้าอยู่แล้ว ต้องออกแรงอีกนิด –โอ๊ย! เจ็บจัง! ต้องหาเศษผ้ามาพันนิ้วแล้วใช้หนังยางรัดสองสามรอบเอาไว้ให้แน่นเสียก่อน แล้วค่อยหั่นผักต่อ ผมต้องทำงานซักผ้าหุงข้าวด้วยมือเดียวติดต่อกันอยู่หลายวัน มือขวาก็ทำงานไป มือซ้ายก็เจ็บเสียวแปลบขึ้นมาเป็นระยะๆ

ผมจะต้องมือเท้าเป็นระวิงอยู่อย่างนี้ทุกวัน มีครั้งหนึ่งผมรีบไปโรงเรียนจนลืมไปว่ากำลังต้มน้ำตั้งไว้ที่เตา ที่บ้านก็ไม่มีใครสังเกตเห็น น้ำเดือดไปจนกาแห้งสนิทแล้วระเบิดขึ้น! แน่นอนครับ ผมทำเรื่องอันตรายใหญ่หลวงเสียขนาดนี้ ย่อมต้องถูกลงโทษเป็นธรรมดา คืนนั้นพ่อสั่งให้ผมคุกเข่าอยู่นอกห้องจนฟ้าสาง ห้ามเข้าไปนอนในห้องเด็ดขาด

รสชาติของชีวิต

ยุคของการเกษตรยังไม่มีมลพิษ กุ้งหอยปูปลาที่อาศัยอยู่เต็มแม่น้ำลำคลองนับเป็นอาหารเสริมที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ วันหนึ่ง พ่อให้ผมจูงท่านไปที่ริมคลองแห่งหนึ่ง ผมจึงถามพ่อว่าพ่อจะทำอะไรหรือ พ่อตอบว่า “ไอ้เด็กโง่เอ๊ย ก็ลงน้ำจับหอยสิวะ!” ผมหน้าชื่นขึ้นมาทันตา ยู้ฮู!

ตอนจับหอยในน้ำนั้นสนุกมาก พอกลับถึงบ้าน พ่อก็เอาหอยมาล้างน้ำจนสะอาด จากนั้นจัดการทำ “หอยเค็ม” มากินกับข้าว ทั้งอร่อยทั้งเจริญอาหารดีแท้ สำหรับเราแล้วเห็นจะต้องบอกว่า นี่เป็นของขวัญที่หล่นลงมาจากฟ้าเลยก็ว่าได้ ยังมีอาหารอีกอย่างที่สวรรค์ประทานมาให้แก่เรา นั่นคือกบ โดยการไปขุดดินหาไส้เดือนมากๆ เพื่อใช้ทำเป็นเหยื่อล่อ จากนั้นนำมาแขวนไว้ที่ข้างคันนา วันต่อมาจึงค่อยรีบไปที่คันนาแต่เช้าตรู่ รับรองได้ว่าจะมีกบมาติดที่เบ็ดทุกคัน บางครั้งเมื่อไม่ได้กินข้าวติดกันหลายมื้อเข้า เราก็ต้องหาผักหญ้าตามข้างทาง มะเขือป่าบ้าง ใบหม่อนบ้าง มากินกันแก้หิวไปก่อน เมื่อแน่ใจว่ารสชาติไม่เลวและไม่มีพิษแล้ว จึงค่อยเด็ดให้คนอื่นในบ้านกิน

ผมมักคิดว่า คนจนก็อยู่ตามประสาจน แต่มันก็เป็นชีวิตที่มีรสชาตินัก

นักเรียนตัวอย่างกับน้องชายปัญญาอ่อน

เมื่อผมเลื่อนขึ้นชั้นสูง ไล่เคอจิ้น น้องชายคนโตก็เริ่มเข้ามาเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนเดียวกันกับผม ในใบวินิจฉัยโรคของน้องชาย หมดได้บันทึกไว้ดังนี้ “เป็นผู้ที่มีสติปัญญาไม่สมประกอบ ไอคิวต่ำกว่า 47” ต่ำกว่าไอคิวแม่เสียอีก
ที่โรงเรียนไม่มีใครไม่รู้จักผมกับน้อง คนหนึ่งนั้นสอบได้ที่ 1 ติดต่อกันถึงหกปี และยังได้เป็นหัวหน้าห้องที่เป็นนักเรียนตัวอย่างด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งคือ “ไอ้ทึ่ม” ที่รักษาตำแหน่ง “บ๊วย” ของตนเองไว้ได้อย่างสม่ำเสมอทุกปี ต่อมาผมตั้งใจว่าจะสอนน้องให้อ่านหนังสือให้ได้ จึงพยายามพาเขาอ่านหนังสือทุกวัน วันละประโยค และคอยจับมือให้เขาเขียนหนังสือ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เช่นนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

แล้วสวรรค์ก็เริ่มเห็นใจในความพยายามของผม นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถตีไข่แตกได้ และยังสามารถเอาชนะเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันได้อีกคนหนึ่งด้วย ความก้าวหน้าครั้งนี้ได้รับความชื่นชมจากครูใหญ่เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งมอบรางวัลพัฒนาการดีเด่นให้น้อง

พอกลับถึงบ้าน ผมก็เล่าเรื่องที่น้องชายคนโตได้ขึ้นไปรับรางวัลให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็ยิ้มออกมา ซึ่งน้อยครั้งนักจะได้เห็น ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมชักจะแอบอิจฉาขึ้นมาหน่อยๆ รางวัลของผมติดอยู่ทั่งผนังห้อง อย่าว่าแต่คำชมเชย แค่จะยิ้มสักทีพ่อก็ยังไม่เคย ผมอยากได้รอยยิ้มอย่างนั้นจากพ่อสักครั้งบ้างจัง คิดแล้วก็ยิ่งน้อยใจจริงๆ

ตอนหลังผมได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัด มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านกรุณาต่อผมมาก บ้านของอาจารย์เลี้ยงเป็ด จึงต้องหาคนไปช่วยทำงานอยู่เสมอ จึงให้โอกาสผมไปช่วยทำงานชั่วคราวที่เล้าเป็ดในช่วงวันหยุด โดยมีหน้าที่ช่วยเก็บไข่บ้าง ทำความสะอาดบ้าง แล้วก็จ่ายค่าแรงให้ผมเล็กน้อยพอให้มีเงินพอใช้

เอาอย่างอาจิ้น

นับแต่ชั้นประถมปีที่ 1 จนถึงจบชั้นประถมปีที่ 6 เกียรติบัตรที่ผมเคยได้รับรวมกันทั้งหมดแล้วก็ประมาณ 80 กว่าใบได้ ทั้งรางวัลสอบใหญ่ ตลอดจนรางวัลกีฬาแทบทุกประเภท ผมก็ชนะคนอื่นแทบทั้งนั้น ในที่สุดความมุมานะของผมก็เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วละแวกบ้าน ใครๆ ก็รู้ว่า ลูกของ “งูซื่อ” เรียนหนังสือเก่งที่ 1 เวลาสอนลูกหลานก็มักจะบอกว่าดู “ไอ้ลูกขอทาน” คนนั้นสิ พ่อแม่เขาทั้งพิการ ทั้งไม่รู้หนังสือ แถมยังเป็นขอทานอีก ออกลูกมาทั้งขยันและกตัญญูอย่างนี้ เราต้องรู้จักเอาอย่างอาจิ้นนะ

แต่ก่อนพ่อไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่เดี๋ยวนี้เดินไปที่ไหน ใครๆ ก็รู้จัก ต่างพากันยกนิ้วหัวแม่มือชูให้พ่อมาแต่ไกล ตะโกนปาวๆ ว่า “งูซื่อเอ๊ย ลูกแกนี่ยอดไปเลยที่หนึ่งเชียวนะนี่” พวกรุ่นพี่ที่เคยกลั่นแกล้งหัวเราะเยาะผมก็เริ่มเปลียนท่าทีเป็นละอายต่อผมขึ้นมาบ้าง เพื่อนบางคนถึงกับคำนับผมก่อน

เกียรติบัตรเหล่านี้จึงสำคัญต่อผมมาก เพราะมันเป็นหลักฐานยืนยันคุณค่าของชีวิตผม เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจผม เป็นพลังให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็งกล้าหาญ ย้อนกลับมาถึงวันที่ผมจบชั้นประถมศึกษา
“พ่อ วันนี้ผมได้ใบประกาศมาตั้งสี่รางวัลแน่ะ
“สี่ใบเชียวนะพ่อ พ่อรู้ไหมว่าผมเป็นคนที่ได้รับรางใบประกาศมากที่สุดในโรงเรียนเชียวนะ”
“อาจิ้น” ในที่สุดพ่อก็เงยหน้าขึ้น”
“อาจิ้น เรียนหนังสือถึงแค่นี้ก็พอแล้วละนะ ทางบ้านคงไม่มีเงินส่งให้แกเรียนต่อแล้วละ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว บ้านเราไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้แก ก็ใช่ว่าแกจะไม่รู้” พ่อชิงตัดบทก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อไป

ผมรู้สึกเหมือนเทวดาตกจากสวรรค์ที่โรงเรียนลงมาสู่เหวนรกอย่างไร ผมกำหมัดแน่น น้ำตาไหลนองหน้า ตะโกนก้องในใจว่า ให้ผมเรียน ให้ผมเรียน ให้ผมเรียนเถอะ! ความจริงก็คือความจริง ความเพียรพยายามและความมุมานะของผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความโกรธแค้นและโศกเศร้าของผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ เพียงเพราะผมเป็นลูกชายคนโต ลูกชายคนโตมีหน้าที่ต้องเลี้ยงครอบครัว

ผมทำงานในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนด้วยความขยันขันแข็ง สองเดือนต่อมา ผมเอาเงินเดือนที่ได้จากการทำงานทั้งหมดยื่นให้พ่อ พ่อถือปึกเงินที่อยู่ในมือพลิกไปพลิกมา แล้วพ่อก็พูดว่า
“โรงเรียนมัธยมของแกเปิดลงทะเบียนวันที่เท่าไหร่นะ อย่าลืมไปจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยล่ะ”

ผมร้องไห้ออกมา น้ำตาที่ไหลคราวนี้มันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากความปีติยินดีอย่างสุดซึ้ง

ริษยา

ผมไม่เพียงแต่จะมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมเท่านั้น เรื่องของการกรีฑาทั้งประเภทลู่และลานของผมก็โดดเด่นไม่เป็นรองใครเหมือนกัน การลงแข่งในงานกีฬาโรงเรียน พอสิ้นเสียงสัญญาณปืนเท่านนั้น ผมก็ออกตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ใจคิดว่าผมต้องชนะ ผมต้องเหนือกว่าคนอื่นให้ได้ มุ่งมั่นที่จะวิ่ง วิ่ง และวิ่งเท่านั้น ผมวิ่งจนไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติรอบตัว จนเกือบถึงเส้นชัยแล้ว ตอนนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าเสียงเชียร์รอบสนามนั้นเงียบงัน ยังไม่ทันจะได้ฉุกคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวผมก็พุ่งเข้าไปถึงเส้นชัยเสียกอ่น เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม!พอหันกลับไปมอง ผมเห็นบรรดาครูอาจารย์เดิมนั่งอยู่บนอัฒจันทร์นั้น พากันลุกขึ้นยืนกันหมด ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่านักกีฬาคนอื่นเพิ่งจะวิ่งได้แค่ครึ่งสนามเท่านั้นเอง แต่ผมกลับคึกวิ่งเร็วราวกับม้าศึกนำลิ่วมาถึงเส้นชัย ทำเอาผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก ถามกันใหญ่ว่า—พระเจ้า ใครกันนะ นั่นน่ะ ทำไมถึงวิ่งได้เร็วขนาดนั้น

สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็คือว่า ช่วงสิบปีที่เร่ร่อนอยู่นั้น ผมต้องอุ้มน้องๆ เดินทางเป็นระยะไกลๆ เป็นสิบๆ กิโลเมตรแทบทุกวัน ต้องคอยวิ่งหนีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิต ตามป่าละเมาะก็ต้องวิ่งหนีหมาป่าที่วิ่งไล่ ต้องคอยหาบน้ำจากคลองมาใช้วันละเป็นสิบๆ เที่ยว”การฝึกสมรรถภาพร่างกาย” เป็นระยะยาวเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยฝึกให้ผมมีกำลังแขนแบะกำลังขาที่ดีเยี่ยมจนน่าตกตะลึงเท่านั้น ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งว่องไวและอดทนให้กับร่างกายผม จนเปี่ยมพลังพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาอีกด้วย

การแข่งวิ่งครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงของผมดังกระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน หลังจากครั้งนั้น ทำให้ชื่อเสียงของผมดังกระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน หลังจากครั้งนั้น หากมีเวลาว่างผมก็จะรีบลงไปซ้อมวิ่งที่ทุ่งนา ฝึกขว้างก้อนหินที่เก็บมาจากเตาเผาร้าง โดยตั้งใจว่าจะต้องฝึกให้พัฒนาขึ้นไปในทุกๆ วัน ต้องวิ่งให้เร็วขึ้นขว้างให้ไกลขึ้น กระโดดให้สูงขึ้น กระโดดให้ไกลขึ้น ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน เป็นตัวแทนนักกีฬาลงแข่งกีฬาจังหวัด หรือเป็นตัวแทนนักกีฬาลงแข่งกีฬาลงแข่งกีฬาเขตก็ตาม ผมก็จะต้องได้เกียรติบัตรมาทั้งหมดประมาณห้าสิบกว่าใบ ทุกใบคือรางวัลชนะเลิศล้วนๆ

ผมกลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาเพื่อนฝูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเคยต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ถึงสองครั้ง
“มองหาอะไรวะ! อยากเจอดีหรือไง หา! แน่นักหรือวะมึง คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าห้อง สอบได้ที่หนึ่งแล้วแน่มากหรือไงวะ”
ผมเงียบ

ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากห้องไปกันหมด พวกสองสามคนสุดท้ายก็ยังอุตส่าห์หันกลับมาใช้มือจิ้มที่ปลายจมูกผม บอกให้ผมระวังตัวเอาไว้ให้ดีๆ ผมปวดร้าว จริงอยู่ว่าถ้าเทียบกับโลกแห่งการแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นของผู้ใหญ่ที่มีแต่การต้มตุ๋นหลอกลวงกัน เรื่องแค่นี้ก็คงเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่น่าจะเก็บมาเป็นสาระ แต่สำหรับเด็กวัยประถมอย่างผมแล้วก็คงต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะผมต้องการการยอมรับเท่านั้นเอง แล้วผมทำอย่างนี้มันผิดด้วยหรือครับ ผมดิ้นรนกระเสือกกระสนทุกอย่างก็เพียงเพื่อให้คนในครอบครัวได้หลุดออกจากวงจรชีวิต “ขอทาน” เสียที หลุดออกจากชีวิตที่มีแต่คนดูถูกเหยียดหยามเยาะเย้ยอยู่ตลอดเวลา ผมทำอย่างนี้แล้วมันเดือดร้อนใครด้วยหรือ

และที่แสนจะเจ็บปวดที่สุดก็คือ นักเรียนตัวอย่างที่ได้รางวัลดีเด่นตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมเป็นระยะยาวติดกันถึงเจ็ดปีอย่างผมนี้ จะตอบโต้ด้วยวาจาหรือลงมือชกต่อยกับใครไม่ได้ ผมใช้เกียรติบัตรเป็นใบเบิกทาง แล้วผมจะให้อารมณ์ฉุนเฉียวเพียงชั่วครู่มาก่อเป็นรอยด่างพร้อยที่จะ “ประทับตรา” ติดตัวผมตลอดไปไม่ได้ ผมต้อง “อดทน”
ตอนหลังไม่รู้ว่าอาจารย์ไปได้ยินข่าวอะไรจากไหนมาหรือเปล่า ท่านเรียกผมเข้าไปพบที่ห้องพักครู แล้วบอกว่า “หัวหน้าห้อง ครูรู้นะว่าเธอน่ะเก่งมากเลย แต่ว่าการแข่งขันของโรงเรียนคราวนี้ เธอจะไม่ลงแข่งจะได้ไหม ยอมออมมือสักครั้งนะ ลองให้เพื่อนคนอื่นเขามีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของการเป็นที่หนึ่งบ้าง ดีไหม” ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ได้แต่พยักหน้ารับ

รักครั้งแรก

เวลาซ้อมวิ่งที่สนามทีไร ก็มักจะมีพวกนักเรียนหญิงแกล้งเกี่ยวแขนกันมาเดินโฉบผ่านไปมาใกล้ๆ ผม แต่ตอนที่ผมอายุเท่านั้น แค่คิดว่ามีผู้หญิงสวยๆ มองผมอยู่ หัวใจผมก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว

พวกเราในตอนนั้นต่างก็มีความสนอกสนใจต่อเพศตรงข้าม ทั้งยังเฝ้าใฝ่ฝันเรื่องนี้กันขนาดนี้ แต่ผมนั้นตระหนักถึงภาระในครอบครัวอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงมักจะตั้งใจหลีกเลี่ยงเสียทุกครั้งไป ผมออกแรงวิ่งอย่างเต็มที่เต็มแรงเพื่อเผาผลาญพลังงานและหักหาญกำลังฮึกเหิมของวัยหนุ่มให้หมดสิ้นไป

วันหนึ่งในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 จู่ๆ ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งหยิบเอาจดหมายมาส่งให้ผม ให้ผมจริงๆ น่ะหรือ เด็กผู้หญิ่งคนนั้นชักกระวนกระวาย แล้วพูดขึ้นว่า “ให้เธอนั่นแหละ อีตาบ้า ชั้นช่วยส่งจดหมายให้คนอื่นเขาหรอกย่ะ” ผมถือจดหมายยืนนิ่งอยู่ที่สนาม รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างไรชอบกล

ในจดหมายบอกว่า เธอไม่เคยเขียนจดหมายหาผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย แต่เธอเห็นผมที่โรงเรียนแล้วก็รู้สึกชื่นชมผมมากจริงๆ และอยากจะคบหาเป็นเพื่อนกับผม เท่านี้จบ หัวใจผมแทบจะวิ่งออกมาจากอก ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาสารภาพว่าเธอแอบชอบคุณ อยากจะคบคุณน่ะ โอ! สวรรค์ “ชอบ” “ชื่นชม” คำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำ ทำไมถึงทำให้รู้สึกชื่นใจได้มากมายขนาดนี้หนอ แล้วแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว แล้วผมก็ตอบจดหมายกลับไป

ไม่รู้ว่าการคบกันอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า ทุกวัน เวลาที่ผมซ้อมกีฬา เธอก็จะมานั่งรอผมที่ใต้ต้นไม้อีกฟากหนึ่งของโรงเรียน แต่เธอก็มักจะนั่งตรงที่ที่สามารถมองเห็นกันได้ตลอดเวลา รอจนผมซ้อมกีฬาเสร็จ แล้วเราจึงค่อยเดินกลับบ้านพร้อมกัน ใส่ชุดนักเรียนแบกกระเป๋าหนังสือกลับบ้านไปด้วยกัน แม้จะเดินไปด้วยกันก็จริงแต่ก็ห่างกันเป็นวา บางครั้งตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน พูดกันก็แค่ประโยคเดียวว่า “ลาก่อน”

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่สักระยะหนึ่ง แล้วจู่ๆ เธอก็ไม่สนใจผมอีกเลย ต่อมาผมจึงได้รู้จากปากของเพื่อนๆ เรื่องก็คือเธอไปได้ยินมาว่าผมเป็นลูกขอทาน มีแม่และน้องชายปัญญาอ่อน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังอาศัยอยู่ในเล้าหมู เธอตกใจจนไม่กล้าจะคบกับผมอีกต่อไป

ผมอกหักซึมกะทือไปอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว พอผมเริ่มคุมสติกลับคืนมาได้ ผมก็เริ่มเข้าร้านหนังสือ ไปเสาะหาอ่านหนังสือประเภท “ร้อยแปดวิธีเติมความหวานในจดหมายรัก” จนถึงหนังสือวิชาการประเภท “รักกันอย่างไรให้เข้าท่า” ศึกษาวิเคราะห์ให้ละเอียดทั้งเคล็ดลับและแนวทางต่างๆ ทุกขั้นตอน จุดไหนไม่ถูกต้องไม่ดีพอก็แก้ไขจุดนั้นเสียใหม่ ผมไม่เชื่อว่าผมจะลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งไม่ได้…

< ..โปรดติดตามตอนจบ..>


Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *