“สภาวะโลกร้อน” ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างรุนแรง
|“สภาวะโลกร้อน” ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างรุนแรง
• คุณภาพชีวิต
ช่วยกันรักษาต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยได้
สภาวะโลกร้อนก็คือ……. เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากสภาวะเรือน กระจก (Green house effect) ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างรุนแรง สภาวะดังกล่าว เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate change) โดยปกติแล้ว โลกจะมีชั้นบาง ๆ ของก๊าซกลุ่มหนึ่งเรียกว่า “ก๊าซเรือนกระจก” (Greenhouse gas) ที่ทำหน้าที่ดักและสะท้อนความร้อนที่โลกแผ่กลับออกไปในอวกาศให้กลับเข้ามาในโลกอีก
ซึ่งก๊าซเรือนกระจกมีสัดส่วนน้อยกว่า 0.1% ของปริมาตรของอากาศตามธรรมชาติ ช่วยทำให้โลกมีอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ หากไม่มีก๊าซกลุ่มนี้ โลกจะไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ได้ และจะมีอุณหภูมิแปรปรวนในแต่ละวัน ก๊าซกลุ่มนี้จึงทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มบาง ๆ ที่ห่มคลุมโลกไว้ให้อบอุ่น แต่ในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกได้มีการสะสมก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อโลกร้อนที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2) ก๊าซมีเทน ( CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ( N2O) และก๊าซที่มีส่วนประกอบของสาร ( CFCS) เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมประจำวันของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้พลังงานเชื้อเพลิงที่ขุดขึ้นมาจากใต้พิภพ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกไม่สามารถแผ่ความร้อนออกไปได้อย่างที่เคย ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับว่าโลกมีผ้าห่มที่หนาขึ้นนั่นเอง
แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด กรณีภาวะโลกร้อนจะ แตกต่างกันในแต่ละประเทศแต่ละส่วนของโลก ซึ่งพอจะสรุป ดังนี้…….. แถบขั้วโลกจะได้รับผลกระทบมากสุดและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการละลายของภูเขาน้ำแข็ง ทั้งที่เป็นธารน้ำแข็ง (glaciers) แหล่งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก และในกรีนแลนด์ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำแข็งที่ละลายนี้จะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร………….ทวีปยุโรป
โดยเฉพาะยุโรปตอนใต้ ในหลายพื้นที่ๆจะเกิดการลาดเอียง และจะประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน …………ในทวีปเอเชีย อุณหภูมิจะสูงขึ้น และจะมีผลต่อ ความกดอากาศของภูมิภาคนี้ ทำให้ในบาง พื้นที่ที่เคยแห้งแล้งก็จะเกิดฝนตก บางพื้นที่ที่เคยฝนตกก็เกิดภาวะแห้งแล้ง แหล่งน้ำ/แม่น้ำ แห้งผาก และเปลี่ยนทิศทาง เกิดฤดูกาลที่ผิดปกติ และความแห้งแล้ง จะทำให้เกิดไฟป่าที่รุนแรง ผนวกกับการที่ป่าถูกบุกรุกทำลาย เพื่อแสวงหาที่ทำกินเพิ่มขึ้น ทำให้ป่าไม้ขาดความอุดมสมบูรณ์ จากที่เคยเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มออกซิเจนหรือเป็นปอดของโลกได้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว………..เนื่องจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นจะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่น โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก และมาลาเรีย
การที่โลกร้อนขึ้นจะก่อให้เกิด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืช ที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด โดยเฉพาะในแถบร้อนชื้นของโลก เชื้อโรคจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากในอีก 20 ปีข้างหน้า และจะเกิดการระบาดของโรคอย่างรุนแรงทั้งโรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก ไข้ส่า อหิวาตกโรค และโรคอาหารเป็นพิษ เป็นต้นสภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อประเทศไทยคือ……จากการศึกษาพบว่า มีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 2- 4 องศาเซลเซียส จะทำให้พายุไต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทาง เกิดความรุนแรง และมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ในอนาคต นอกจากนี้ ฤดูร้อนจะขยายเวลายาวนานขึ้น ในขณะที่ฤดูหนาวจะสั้นลง
ซึ่งสอดรับกับ รศ.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “บ้านเรามีแนวโน้มจะเกิดปริมาณฝนตกในฤดูสั้นลงหรือฤดูฝนสั้นลง ขณะที่ฤดูหนาวจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น และจะเป็นฝนทิ้งช่วง ตกครั้งละมากๆ นอกจากนี้โอกาสที่พายุโซนร้อนและไต้ฝุ่นจะเปลี่ยนทิศพัดเข้าสู่ประเทศไทยทางอ่าวไทยโดยตรงมีมากขึ้นโดยจะส่งผลให้เกิดอุทกภัยและโคลนถล่ม โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันออกและกรุงเทพมหานคร ” …………ในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาบางที่เกิดสภาวะแห้งแล้ง บางที่เกิดฝนตกหนักน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก เกิดโรคระบาด ทำให้ประเทศไทยได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจมากมาย………. ณ เวลานี้ สามารถพูดได้ว่า มันสายเกินไป ที่จะหยุดยั้งสภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เราก็ยังสามารถบรรเทาผลอันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพื่อให้ความรุนแรงลดลงอยู่ในระดับที่พอจะรับมือได้ หรืออาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้เกิดช้าลง ยืดเวลาให้นานขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำได้ตอนนี้คือพยายามลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการประหยัดพลังงานซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการเกิดสภาวะโลกร้อนไปในตัว ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้
1.ลดการใช้น้ำมัน โดยใช้รถยนต์เท่าที่จำเป็น และขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นั่งรถร่วมกันครั้งละหลายๆคนหากเดินทางไปในทางเดียวกันหรือที่หมายใกล้กัน( CAR POOL) และหมั่นตรวจเช็คลมยางอยู่เสมอ ที่สำคัญควรเลือกใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด หากเป็นการเดินทางที่มีระยะทางไม่ไกลมากควรเลือกใช้วิธีการเดิน หรือใช้รถจักรยานแทนการใช้มอเตอร์ไซด์
2. การเลือกบริโภคหรือเลือกใช้ของที่ปลูก/ผลิตในท้องถิ่น
3. เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน
4. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ควรเลือกบริโภคสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่เรียบง่าย เช่น เลือกบริโภคน้ำจากขวดแก้วเพราะสามารถนำมาล้างและบรรจุใหม่ได้ หรือเลือกที่จะบริโภคน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลมมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่าน้ำเปล่า หรือเลือกใช้สินค้าที่ผลิตด้วยมือ(Hand Make) แทนการใช้สินค้าที่ผลิตด้วยเครื่องจักร
5. เรียนรู้วิธีจัดการกับขยะในครัวเรือน ด้วยการไม่เพิ่มขยะโดยไม่จำเป็น เช่น การใช้ถุงผ้าไปใส่ของเวลาไปจ่ายตลาด แทนการหิ้วถุงพลาสติก ลดปริมาณขยะโดยการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ขยะชิ้นใดสามารถ นำมาใช้ใหม่ได้ควรแยกออกไว้เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือขายให้กับพ่อค้า/แม่ค้าของเก่า ขยะที่เป็นขยะเปียก เช่น เศษผักหรือเศษอาหารควรหมักเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพเป็นการผลิตปุ๋ยใช้เอง สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าปุ๋ยได้ไปในตัว และงดการเผาขยะเองทุกชนิด
6. ช่วยกันรักษาต้นไม้ และป่าไม้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ว่างเปล่าให้มากที่สุดเพื่อเป็นปอดสำหรับฟอกอากาศโดยพืชสีเขียวจะเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นออกชิเจนจากกระบวนการสังเคราะห์แสงนั่นเอง เป็นการลดก๊าซเรือนกระจกไปในตัว ………. ปัญหาสภาวะโลกร้อน นับเป็นมหัตภัยที่จะก่อให้เกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติในอนาคตอันใกล้นี้ ที่เราทุกคนต้องใส่ใจ สิ่งที่เราทำได้คงไม่ใช่การหยุดหายนะที่จะเกิดขึ้น แต่น่าจะเป็นการบรรเทาความรุนแรงของหายนะนั้น หรือยืดระยะเวลาที่จะเกิดให้ยาวนานออกไปเพื่อที่จะสามารถเตรียมรับมือกับหายนะให้มีผลกระทบน้อยที่สุด ที่ไม่ใช่เฉพาะต่อมนุษย์เท่านั้น แต่หาก เพื่อทุกสรรพชีวิตที่อยู่บนโลกใบเดียวกันนี้
ที่มา: เครือข่ายต้านโลกร้อน สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1