“ไล่ตงจิ้น” ลูกขอทาน : ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต ตอนที่ 3


หยุดพเนจร

วันหนึ่ง ผมพาพ่อออกไปขอทานเช่นเคย ลุงคนหนึ่งถามผมว่า “ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งได้ไปโรงเรียนหรือยัง” ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า คุณลุงคนนั้นหันไปพูดกับพ่อว่า “ลูกโตขนาดนี้แล้ว น่าจะให้เขาเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือสิ จะได้ไม่ต้องออกมาเป็นขอทานอย่างนี้ไง เป็นขอทานแล้วจะมีอนาคตเหรอ หรือต่อไปก็ยังอยากให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง จะเป็นขอทานอย่างนี้ไปตลอดชาติเลยหรือ” “เอ้า! นี่เงินสิบหยวน เอาไว้ให้ลูกไปโรงเรียนหนังสือซะนะ ต้องเรียนหนังสือ แล้ววันนึงจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากกับคนอื่นเขาบ้าง”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคนพูดว่า “เรียนหนังสือแล้วจึงจะลืมตาอ้าปากได้” คำพูดประโยคนี้กระทบใจผมอย่างรุนแรง อีกสองสามวันต่อมา ไม่ว่าพวกเราจะไปขอทานกันที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะสถานีขนส่งหรือตามตลาดโต้รุ่ง ก็มักจะได้พบกับคุณน้าคุณอาผู้มีใจเอื้ออาทรเข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมในทำนองนี้กับพ่อเสมอ

คืนหนึ่ง พ่อเรียกผมเข้าไปหาตรงหน้าท่าน แล้วพูดว่า “วันนี้แกรีบนอนแต่หัวค่ำนะ เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้า ก็แกอยากเรียนหนังสือนักไม่ใช่เรอะ ถ้าจะเรียนหนังสือก็จะเร่ร่อนต่อไปไม่ได้แล้ว” ผมได้ยินเท่านั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น เราจะมี “หลักแหล่ง” แล้ว ไม่ต้องเร่ร่อนกันอีกแล้ว

เมื่อตอนที่ลุงกับป้ามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเรานั้น สิ่งที่ผมได้เห็นกลายเป็นคนตาบอดถือไม้เท้ากันทั้งสองคน ลุงกับป้าอยู่ที่นี่มานาน ช่วยหาเล้าหมูให้เราอยู่กันไปพลางๆ ก่อน จากนั้นลุงก็บอกให้ไปแจ้งสำมะโนประชากรที่ที่ว่าการอำเภอด้วย ถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้ว่าพวกเราเด็กๆ ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้มานานหลายปีนั้น ที่แท้ก็ไม่ได้ “มีตัวตน” พวกเราเป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อนที่เดี๋ยวก็เร่ไปทางโน้นที แต่กลับไม่เคยมีชื่อปรากฏเป็นประชากรของแผ่นดินเลย
ทำเรื่องเดินเอกสารไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นอันสำเร็จเรียบร้อย นอกจากนี้ตลอดระยะสี่สิบปีที่ผ่านมา ครอบครัวของเราไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว

ไปโรงเรียน

วันแรกที่ไปโรงเรียน ผมนึกถึง “หนังสือ” ที่จะได้เรียน นึกถึงคุณครูที่จะคอยสอนผมให้เขียนหนังสือเป็น โรงเรียนว่าช่างดูเหมือน “พระราชวัง” แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่มาถึงหน้าประตูโรงเรียนเท่านั้น ยิ้มแบบไม่พึงประสงค์ดีให้ ผมก็ได้แต่กลืนน้ำลาย พยายามทำตัวให้ลีบ ก็มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งแกล้งเดินมาชนผมอย่างจัง แล้วพวกหมาหมู่อีกสองสามคนก็พากันล้อเลียนผมว่า

“อะไรวะ ลูกขอทานก็มาเรียนหนังสือด้วยเหมือนกันหรือนี่”
“ขอทานมาเรียนหนังสือ บ้าหรือเปล่า กลับไปขอทานของแกเหมือนเดิมเถอะ!”

อยากจะชกหน้าพวกเขาจริงๆ เรี่องต่อยตีกันน่ะผมไม่กลัวหรอก แต่พอนึกถึงพ่อ ถ้าพ่อรู้ว่าผมมีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนกับเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่มาโรงเรียน พ่อคงจะเสียใจมาก แล้วถ้าพ่อเกิดโกรธจนไม่ยอมให้มาเรียนต่ออีกแล้วผมจะทำอย่างไร
เพียงแค่คิดว่าตัวเองจะไม่ได้เรียนหนังสือ ผมก็รู้สึกราวกับว่าจะขาดใจ พยายามบอกกับตัวเองว่า ต้องเข้มแข็ง ห้ามร้องไห้เด็ดขาด อย่าไปมีเรื่องกับใครเขา จากนั้นก็อดทนกลั้นใจเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยใกล้ๆ แถวนั้น เดินไปจนถึงตรงที่ไม่มีใครอยู่ แล้วกำหมัดต่อยรัวที่กำแพง “นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! นี่ๆๆ!” ผมระบายความอัดอั้นออกมาด้วยเสียงแหบต่ำ น้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตา ผมสาบาน ผมขอสาบานว่าผมต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า สักวันขอทานก็จะต้องมีวันได้ดี ผมจะต้องแปรความแค้นเป็นพลังให้ได้

พอมาถึงโรงเรียน ผมก็ไม่รู้ว่าห้องไปทางไหน ไม่รู้หนังสือจึงต้องถามคุณครูที่เดินผ่านมา แล้วให้ท่านช่วยพาผมไปส่งที่ห้องเรียน แล้วคุณครูก็ขานชื่อ
“ไล่ตงจิ้น!” ครูเรียกชื่อผม
“มาครับ” ผมตอบเบาๆ

ครูขมวดคิ้ว แล้วถามผมว่า “แล้วพ่อแม่เธอล่ะ ทำไมไม่มา”
ผมชักจะใจเสีย แต่ก็ไม่กล้าโกหกครู จึงตอบว่า “คุณครูครับ พ่อผมตาบอด แม่ผมปัญญาอ่อน พวกเขามาไม่ได้ครับ”
ท่านตบบ่าเบาๆ แล้วพูดว่า “ไล่ตงจิ้น ไม่เป็นไรนะ คนเราหนีความจริงไปไม่พ้นหรอก ไม่ต้องเสียใจนะ”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที ในใจเฝ้าแต่ขอบคุณคุณครูอยู่ไม่ขาด “ขอบคุณครับ ขอบคุณครับคุณครู ขอบคุณมากครับ”

พอขานชื่อเสร็จ นักเรียนทุกคนก็ต้องกรอกข้อมูลลงในทะเบียนเอกสาร ผมไม่เคยรู้จักเลยสักตัว ดีที่ตอนนี้คุณครูเดินย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง จากนั้นก็สอนผมกรอกข้อมูลลงในเอกสาร พอมาถึงข้อที่ถามถึงอาชีพของพ่อแม่ ผมก็อึ้งไป แล้วถามครูว่า “พ่อบ้าน-แม่บ้าน ก็พอแล้วล่ะ มา ครูจะสอนให้เขียนนะ” คุณครูท่านนี้คือครูที่แสนดีคนแรกในชีวิตผม เธอชื่อคุณครูเฉินเมี่ยว

พี่สาวผู้เสียสละ

หลังจากเข้าเรียนเพียงไม่กี่วัน วันนั้น ผมรีบกลับบ้านเพื่อออกไปขอทานกับพ่อ แต่พ่อกลับไม่อยู่บ้าน มีเพียงพี่สาวที่กำลังร้องไห้อยู่บ่นเตียง ผมรี่เข้าไปถามเธออย่างห่วงใยว่าเป็นอะไร พี่สาวเอาแต่ส่ายหน้า ไม่ให้ผมถามอะไรอีก บอกแต่ว่าวันนี้พ่อไม่ออกไปขอทานที่ตลาดโต้รุ่ง แล้วก็ไล่ผมให้รีบทำการบ้าน ผมคิดอย่างจนปัญญาว่า “พวกเด็กผู้หญิงพอโตขึ้นแล้วชอบทำตัวแปลกๆ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ว่าอย่ามายุ่ง ไม่รู้พวกเขาคิดอะไรกันอยู่นะ”
พอตกดึก จู่ๆ ผมก็ถูกเขย่าตัวปลุกให้ตื่นขึ้นมา ที่แท้ก็พี่สาวนั่นเอง แล้วพี่สาวก็พูดว่า

“อาจิ้น เธอต้องตั้งใจเรียนนะ” ผมพยักหน้า
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเราก็ตาม เธอเป็นลูกชายตนโต ต้องเข้มแข็งรู้ไหม” ผมรับคำ
“เรื่องที่รับปากกับพี่ไว้น่ะ ต้องทำให้ได้นะ” น้ำตาเธอเริ่มเอ่อขึ้นมาคลอตา

พอพูดจบพี่สาวก็กลับเข้าไปนอน ผมอยากจะถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลัวว่าพ่อจะตื่นขึ้นมา แล้วเราจะถูกตีด้วยกันทั้งคู่ คิดไปคิดมาแล้วผมก็หลับผล็อยไปพอตื่นเช้าขึ้นมา ผมเห็นว่าพี่สาวยังไม่ตื่นก็ไม่อยากปลุก บอกกับตัวเองว่า เดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับมาถามก็ได้ แต่ผมพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตพี่สาว พอตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมก็ไม่พบพี่สาวอีก จึงได้รับรู้ว่า เพื่อปากท้องของทุกคนในบ้าน และเพื่อที่จะให้ผมได้มีโอกาสเรียนหนังสือ พ่อจึงต้องขายพี่สาวให้กับซ่องโสเภณี ผมรู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะถูกจับแยกออกจากกันเป็นชิ้นๆ คิดอะไรไม่ออกสมองเบลอไปหมด รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้าง และผมกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ผมเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนลงพื้นอย่างโกรธจัด แล้วตะเบ็งจนสุดเสียงว่า “ผมจะเอาพี่สาวกลับมา ผมจะเอาพี่กลับมา!…” ผมรู้ดีว่านี่เป็นการตัดสินของพ่อ ซึ่งใครก็ขัดท่านไม่ได้ โธ่ พี่ ผมไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว พี่กลับมาเถอะนะ
พ่อได้ยินเสียงผมสะอื้น ก็พูดกับผมว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว หรือแกจะให้อดตายกันทั้งบ้าน”

คำพูดประโยคนี้ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก ผมมันไม่ดีเอง ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงพ่อแม่กับน้องๆ ทำให้พี่สาวต้องขายตัว ปีนี้พี่สาวเพิ่งจะอายุ 13 ปี เธอไม่เคยมีโอกาสได้รับการศึกษาเลยตลอดชีวิต แต่กลับยอมเสียสละความสาวและความสุขทั้งชีวิตของเธอเพื่อครอบครัว ผมได้พบกับพี่สาวอีกครั้งเมื่อหนึ่งปีผ่านไป คนที่ซ่องขับรถพาเธอกลับมาที่บ้าน แต่ให้แวะเพียงไม่กี่นาที เมื่อผมได้พบกับพี่สาวอีกครั้ง เราเจอหน้ากันก็ร้องไห้โผเขากอดกันจนแน่น พี่เล่าว่า เธอเป็นพนักงานที่เด็กที่สุดในซ่อง พี่จึงรับแขกบ่อยที่สุด แต่ถ้ารับแขกได้ไม่มากพอ หรือหากทำอะไรให้แขกไม่พอใจเข้า ก็มักถูกพวกแมงดาซ้อม

ผมอดสงสารพี่ไม่ได้จึงร้องไห้ออกมา แล้วบอกพี่สาวว่าไม่ต้องกลับไปอีก ผมไม่เรียนหนังสือแล้วก็ได้ ผมจะไปขอทาน จะให้ผมไปเป็นกรรมกรก็ได้ ผมจะดูแลครอบครัวเอง พี่สาวพูดว่า “อาจิ้น เธอลืมไปแล้วหรือว่าเคยตกลงกันไว้ว่ายังไง ไม่ว่าเราจะเจ็บปวดสักแค่ไหน เราต้องสู้ต่อไป พี่เต็มใจไปทำงานเอง พี่อยากทำ ไม่มีใครบังคับพี่ มันเป็นความสมัครใจของพี่เอง ขอเพียงเธอตั้งใจเรียนเท่านี้ก็เป็นการทดแทนบุญคุณของพี่อย่างดีที่สุดแล้ว” แล้วพี่ยังพูดต่ออีกว่า ยิ่งพ่อแม่โชคร้ายแค่ไหน เราก็ต้องเข้มแข็งให้มากขึ้นเท่านั้น นับแต่นั้นคำพูดประโยคนี้ก็ประทับไว้ในใจผมตลอดมา เมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้ ผมก็จะเอาคำพูดของพี่สาวประโยคนี้มาไตร่ตรองใคร่ครวญทุกครั้งไป

ผมตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่าผมจะตั้งใจเรียนให้ดี พร้อมกับแอบครางในใจว่าพี่ ผมจะไม่ให้พี่ต้องเสียสละเปล่าๆ แน่ ชีวิตของพี่สาวลำบากมากกว่าผมนัก เธอทำงานที่ซ่องนานถึงอายุ 18 ปี พี่บอกว่าฐานะทางบ้านเรายังไม่ดี จึงต้องยอมทนลำบากต่อไป โดยจะยังไม่รีบแต่งงานเพื่อเอาตัวรอดไปคนเดียว ต่อมาพี่สาวก็แต่งงานไปกับพี่เขยขอทานพิการตาบอดแขนด้วน เธอจึงต้องกลับมาแบกภาระรับผิดชอบดูแลทั้งชีวิตตัวเองและลูกๆ ทั้งสี่คนของเธอด้วย

ผมนึกอยู่เสมอว่า พี่สาวยังเต็มใจขายตัวเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว แล้วผมเล่า เต็มใจรับภาระดูแลคนทั้งครอบครัวแค่ไหน กล้าสละชีวิตโดยไม่ลังเลหรือไม่ ผมยอมได้หรือเปล่า ผมทำได้ไหม

ความรู้ข้างถนน

ผมรู้ว่าครอบครัวเรายากจน การที่ให้ผมได้เรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพื่อให้ทุกคนมีอะไรตกถึงท้องทั้งสามมื้อ หลังเข้าโรงเรียนแล้ว ผมจึงต้องเรียนไปด้วยออกขอทานไปด้วย ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจะต้องไปขอทานกับพ่อจนถึงตีหนึ่งตีสองทุกวัน แล้วค่อยลากสังขารอันอ่อนล้าจวนสิ้นแรงกลับบ้าน พอมาถึงบ้านก็ต้องช่วยทำอาหารให้พ่อกินรองท้อง กว่างานทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็ย่างเข้าตีสาม แล้วค่อยตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีห้ากว่า อ่านหนังสือ อาบน้ำ หุงข้าว แล้วค่อยไปโรงเรียน

สถานีรถไฟไถจง ตลาดโต้รุ่ง สะพานลอย ที่ใดก็ตามที่มีผู้คนจอแจ ที่นั่นจะมีเราสองพ่อลูกอยู่เสมอ บางครั้งพ่อก็สีซอ บางครั้งก็ดีดพิณ บางครั้งก็ดีดหรือสีและร้องเพลงไปพร้อมๆ กัน ส่วนผมจะนั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ พ่อ โดยอาศัยแสงริบหรี่จากเสาไฟข้างถนน พอได้ยินเสียงเศษเหรียญหนึ่งเหมา สองเหมา ลงในขันดัง “แกร๊ง” แล้วผมก็จะต้องรีบวางดินสองลง เงยหน้าขึ้นมาพูดหน้าพร้อมกับพ่อทันทีว่า “ขอบคุณ”ครับ ขอให้ท่านร่ำรวย เงินทองไหลมาเทมา ขอให้มีลูกหลานดีเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลนะครับ” จากนั้นจึงค่อยก้มหน้าก้มตาลงทำการบ้าน แม้พื้นถนนจะขรุขระ แสงไฟจะสลัว แต่ผมก็ยังเป็นนักเรียนที่ลายมือสวยที่สุดในห้อง ถ้าลองเปิดสมุดการบ้านผมดู ก็จะเห็นแต่เอบวกอยู่ทุกหน้าไป เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าไม่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะอ่านหนังสือได้ พอทำการบ้านเสร็จ ผมก็จะรีบหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทันที ผมต้องพยายามใช้เวลาที่มีทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนี้ตำรวจอาจจะปรากฏตัวเมื่อไรก็ได้ แรกๆ ก็ยังอ่อนหัดอยู่ ผลก็คือเราสองคนถูกจับไปฝากขังไว้ถึงสองวัน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มหูตาไวขึ้น เพียงแค่เห็นเงาแวบๆ ของตำรวจที่มาแต่ไกล ผมก็จะรีบบอกให้พ่อรู้ตัวก่อน แล้วตัวเองก็หนีไปให้ไกลจากพ่อ เราจึงจะไม่ถูกจับไปทั้งคู่ ไม่เช่นนั้นใครจะดูแลแม่กับน้องๆ ให้เราเล่า
วันหนึ่ง ผมกับพ่อนั่งรถประจำทางมาลงที่หน้าตลาดโต้รุ่งเฟิงหยวน ก็มีตำรวจตรงเข้ามาจับกุมเรา ผมรีบวิ่งเข้าไปหลบด้านหลังเสาไฟ มองดูพ่อที่ถูกตำรวจจับตัวขึ้นรถไปแล้วน้ำตาจะไหล ผมแค้นใจปวดใจเกินจะทน
ตอนนี้ผมไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหมาเดียว จึงต้องสะพายกระเป๋าวิ่งจากตัวเมืองเฟิงหยวนกลับบ้าน วิ่งจนเหนื่อยก็เดินพักเอาแรง แล้วก็วิ่งๆๆ อีก ผมเกิดมาทำไมกัน ให้ผมมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วยความทุกข์ทรมานเท่านั้นใช่ไหม ตอนเช้าต้องไปเรียนหนังสือ ตอนเย็นต้องออกขอทาน ผมเอาความอัดอั้นในใจที่ระเบิดออกมาแปรเป็นพลังให้ผมมุ่งหน้าต่อไป ระยะทาง 30 กิโลเมตรเต็มๆ ที่ผมวิ่งไปร้องไห้ไปจนถึงบ้าน

พอตื่นขึ้นมาผมต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ครอบครัวเราไม่มีญาติพี่น้อง ผมจึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากคุณครู
“อย่ากังวลใจไปเลยนะอาจิ้น พอเลิกเรียนแล้ว ครูจะพาเธอไปประกันตัวพ่อที่โรงพักเอง ดีไหม”
“เรื่องเงินทองก็ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวครูจะออกให้เธอเอง เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งรู้ไหม” คุณครูคงจะมองออกว่าผมยังกังวลใจ จึงพูดปลอบผมอย่างใจดี
ผมพยักหน้ารับ ซาบซึ้งใจจนบอกไม่ถูก บนโลกอันสิ้นไร้ซึ่งที่พึ่งพิงใบนี้ คงมีแต่คำพูดของคุณครูเท่านั้นที่ช่วยปลอบประโลม และเป็นที่พักพิงใจให้กับผมได้ การตั้งใจเรียนเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผมเป็นคนมีอนาคต แล้วจึงจะสามารถกลับมาตอบแทนพระคุณของคุณครูได้

รางวัลใบแรก

ทุกวันที่ไปโรงเรียน ผมมักจะถูกนักเรียนรุ่นพี่ที่เกเรรุมแกล้งขวางทางผมไว้ แล้วก็พูดจาเยาะเย้ยถากถาง คำพูดบาดหูเสียดแทงใจเหล่านี้แทบจะทำให้ทำนบความโกรธของผมทลายลงมาอยู่หลายครั้ง แต่ผมต้องอดทนไว้ ผมได้แต่ก้มหัวลงพูดขอโทษพวกเขาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และขอร้องให้พวกเขาปล่อยผมไป

วันหนึ่งที่โรงเรียน คุณครูเรียกผมเข้าไปพบ แล้วพูดว่า “อาจิ้น ตามซอกหูของเธอ แล้วก็ที่คอเธอน่ะมีแต่คราบสกปรกทั้งนั้นเลย มือเท้าก็ดำปี๋เลย กลับไปบ้านอาบน้ำถูตัวให้สะอาดนะ รู้ไหม” ผมรู้สึกอับอายมาก เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็รีบไปยืมกระจกคนข้างบ้านมาส่องดูตัวเองทันที ผมถอดเสื้อผ้าออก ใช้กระจกส่องดูตามซอกมุมส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วก็ถึงกับร้องไห้ออกมา

นี่ใช่ผมหรือ ฟันสีเหลืองจัดจนเป็นคราบสกปรกดำ ทั้งที่หู คอ หลัง และก้นก็มีแต่คราบไคลสกปรกจับตัวกันเป็นแผ่นๆ ก็สิบปีกว่ามานี้ บ้านเราไม่เคยอาบน้ำเลยสักครั้ง สองสามอาทิตย์เราจึงจะใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตัวกันสักครั้งหนึ่ง เวลาเช็ดตัวนั้นแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ถอดออก บนหัวเรามีแต่เหาเต็มไปหมด ตัวก็มีแต่เห็บ คันกันจนแทบทนไม่ไหว
พอตอนนี้กลับมานึกทบทวนดูอีกครั้ง ก็เริ่มคิดได้ว่า มิน่าเล่าจึงไม่มีเพื่อนคนไหนอยากจะเฉียดกรายเข้ามาใกล้ผม ผมหยิบฝอยขัดหม้อขึ้นมา ขัดคราบสกปรกตามเนื้อตัวออก ขัดจนผิวผมทั้งเจ็บ ทั้งแสบ ทั้งบวม ทั้งแดงไปหมด แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะสะอาดขึ้น แต่ผมก็ยังไม่พอใจ ขัดไปก็เช็ดน้ำตาไป นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสำคัญของรูปลักษณ์ของบุคคล หากผมไม่รู้จักดูแลและเคารพตัวเอง แล้วใครจะให้เกียรติผม

หลายสัปดาห์ผ่านไป คุณครูให้นักเรียนทุกคนยกมือเลือกหัวหน้าชั้นและหัวหน้ากลุ่ม ผมได้รับเสียงสนับสนุนจากนักเรียนทั้งห้องให้เป็นหัวหน้าชั้น คุณครูส่งยิ้มให้กำลังใจผม ผมคิดว่าลักษณะและความสามารถในการเป็นผู้นำของผม น่าจะเป็นผลมาจากการที่ผมมีชีวิตระหกระเหินมานานกว่าสิบปี ทำให้ผมเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ ได้อย่างใจเย็นและเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น มีความกระตือรือร้นในการทำงานทุกอย่าง และการที่ต้องดูแลทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ จึงทำให้ผมเป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ มีน้ำอดน้ำทน และมีน้ำใจ ทั้งยังช่วยหล่อหลอมให้ผมมีนิสัยเข้มแข็งและกล้าหาญด้วย

เวลาอยู่ที่โรงเรียน ผมจะทำตัวให้เป็นแบบอย่างแก่เพื่อนในชั้น ดังนั้นชั้นเรียนของเราจึงมักจะได้รับรางวัลที่ 1 เรื่องความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนชนะเลิศในการประกวดประเภทต่างๆ แทบทุกรางวัล ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมกลายเป็นที่รักของเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวผมเอง ผมจะอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งทุกวัน

ในที่สุดผลการสอบวัดผลในเดือนแรกออกมา ปรากฏว่าผมสอบได้คะแนนเต็มทุกวิชา และสอบได้ที่ 1 ของนักเรียนทั้งสาย ผมทำได้แล้ว ผมทำได้แล้วจริงๆ วันเวลาแห่งความพากเพียร ที่สู้อดทนยืนท่องหนังสืออยู่ตามข้างถนน คุกเข่าทำการบ้านกับพื้นดินอันแสนขรุขระ ความอุตสาหะของผมไม่ได้สูญเปล่าเลย

แต่แล้วความปรีดาก็ลดลง จะมีใครมาร่วมแบ่งปันความสุขความยินดีครั้งนี้ด้วยกันกับผมเล่า ผมกอดเกียรติบัตร ยืนมองดูแม่เล่นดินทรายอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน ผมเดินเข้ามาชิดพ่อด้วยความหวังที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า

“พ่อครับ นี่เป็นเกียรติบัตรนะครับ เป็นใบประกาศผลสอบได้ที่ 1 ของผมไงครับพ่อ” ผมพูด
แม้แต่จะตอบ “อือ” สักคำก็ยังไม่มี
พ่อพูดแล้ว พ่อพูดว่า “รีบไปหุงข้าวซะ เดี๋ยวต้องออกไปเป็นขอทานกันแล้ว!”
“ฮะ” ผมรอจนท่านเดินออกไปจากห้องแล้ว จึงมีกำลังเปล่งคำนี้ออกได้อย่างยากเย็น

ทำไมมันช่างเจ็บแปลบในใจอะไรเช่นนี้นะ ครับ ผมยินดีทำทุกอย่างอยู่แล้วละครับ แต่ว่าเกียรติบัตรใบนี้ผมจะถือมาให้ใครชื่นชม ไม่รู้ว่าเกิดมุทะลุอะไรขึ้นมา จู่ๆ ก็วิ่งออกนอกไปประตูรั้ว นั่งคุกเข่าลงกับพื้น สองมือประคองใบเกียรติบัตรไว้ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วผมก็ตะโกนอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้บนเกียรติบัตรนี้ดังๆ ชัดๆ เน้นๆ ทีละตัว
พอผมอ่านจบรอบแรก ก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกและน้ำตา แล้วเริ่มอ่านอีก…

หัวใจสลาย

วันหนึ่ง ผมมัวแต่ห่วงเล่นจนเพลินจนเกือบลืมไปว่าคนทั้งบ้านกำลังรอกินข้าวเย็นจากผมอยู่ รีบไปขอทานดีกว่า ขอให้วันนี้โชคดีด้วยเถอะ พอมาเดินมาถึงประตูบ้านหลังหนึ่ง กำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่พอดี บังเอิญไปได้ยินเสียงผู้ใหญ่กระซิบกระซาบ ในบทสนทนาที่ฟังดูคลุมเครือนั้นเหมือนจะมีชื่อพ่ออยู่ด้วย ผมจึงเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ

“ใช่ๆ ก็ลูกสาวของไอ้งูซื่อนั่นแหละ”
“ได้ยินว่าสวยสะเด็ดไปเลยเหรอ”
“อาทิตย์ที่แล้วข้าก็เพิ่งไปเที่ยวมา ทั้งซิง ทั้งเอ๊าะ”
“นี่ๆ จะมัวสำเริงสำราญคนเดียวไม่ได้นะ เมื่อไหร่จะพาพวกเราไปด้วยล่ะ”
“สบายใจได้ ไว้ใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาไปเอง ไว้วันไหนพวกเรานัดกันสองสามคนไปสนุกกับเธอด้วยกันก็ได้”

เสียงหัวเราะสรวลเฮฮาประสานกันลอยละล่องไปตามสายลม แต่ละเสียงเหมือนมีดแต่ละเล่มที่ปรี่เข้ามากรีดหัวใจผม ผมขบกรามแน่น ยกสองมือขึ้นปิดหู วิ่งพรวดพราดเข้าไปในซอยแคบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นร้องไห้โฮ
อา!–อา!—ผมกู่เสียงขึ้นร้องกับฟ้าอย่างโหยหวน โอ สวรรค์ ท่านหลับอยู่หรืออย่างไรกัน
พี่! บ้านเราจนจนต้องขายพี่ไป แล้วยังถูกพวกคนมีเงินเหยียบย่ำเอาถึงเพียงนี้ ช่างน่าอัปยศอดสูอะไรเช่นนี้หนอ พี่ครับ ผมขอโทษ เป็นเพราะอาจิ้นไม่ดีเอง อาจิ้นไม่ควรอยากไปโรงเรียน ผมขอโทษ… ความเคียดแค้นและความอดสูทำให้ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนแตกเยิน จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดก็ตาม ผมจะต้องมีหนังสือเรียนติดมืออยู่ตลอดเวลา ผมจะต้องเอาชนะต่อชะตากรรมให้ได้ ผมจะต้องได้รับเกียรติบัตรมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก และผมจะต้องช่วยพี่สาวออกมาจากนรกนั่นให้ได้
พี่ครับ รอผมหน่อยนะครับ!

บ้านแสนรัก

“เล้าหมู” เป็นบ้านของเรา ที่มีพื้นที่เจ็ดตารางเมตรนี้ไม่มีประตูและห้องส้วม ผนังก็เก่าลอกถลอกไม่น่าดู พื้นก็ไม่เรียบสม่ำเสมอ แถมยังต้องใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่สองลำคอยช่วยค้ำเอาไว้ไม่ให้เอียงด้วย บางครั้งพอมองไปที่ผนังดินนั้นแล้ว ก็อดรู้สึกกลัวว่าถ้ากลางคืนมันเกิดถล่มขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ เราคงต้องพากันตายยกบ้านแน่ กระดานไม้แผ่นหนึ่งกับหินที่รองอยู่ด้านล่าง ประกอบกันเท่านี้ก็เป็นเตียงนอนได้แล้ว สมาชิกทั้งสิบคนของครอบครัวเรานอนด้วยกันบนเตียงนี้ หัวชนเท้า เท้าชิดหัว ทุกคนนอนเบียดกันได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี พอดีจนแทบจะขยับพลิกตัวไม่ได้ บ้านเราไม่มีไฟฟ้า ค่ำลงก็จุดเทียนให้แสงสว่าง แต่ที่จริงเพดานก็ยังอุตส่าห์มีรูรั่วอยู่นับสิบรู ฝนตกทีไรก็ต้องช่วยกันวิ่งหาถ้วยถังกะละมังมารองกันให้วุ่นวาย เพราะบ้านเราไม่มีห้องส้วม จึงต้องหากระโถนพลาสติกมาใช้แทนส้วม ถ่ายทุกข์กันแต่ละทีก็เหม็นหึ่งกันไปทั่วห้อง พอใช้จนเต็มกระโถนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผมเอาไปทิ้งลงในแม่น้ำอยู่ทุกวัน

พอนักเรียนทุกคนขึ้นประถมปีที่ 3 ก็ต้องเริ่มห่อข้าวไปโรงเรียนเอง พ่อกับแม่หุงข้าวไม่เป็น ผมจึงต้องช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งข้าวปิ่นโตของผมมักจะมีแต่ข้าวเปล่า บางครั้งจข้าวแฉะจนแทบกลายเป็นข้าวต้มอยู่แล้ว บางครั้งก็หุงนานเกินไปข้าวก็แข็งแทบกินไม่ได้ พอถึงเวลากินข้าว เด็กนักเรียนชายซุกซนไปหน่อยมักจะแย่งกินกับข้าวในปิ่นโตของเพื่อนคนอื่นทั่วไป ดีที่ผมเป็นหัวหน้าชั้นติดต่อกันนานถึงหกปี ประกอบกับที่ปกติผมเป็นคนค่อนข้างเคร่งขรึมอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เพื่อนๆ จะซนขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาแหย่ผม บางครั้งผมเคยแอบมองในปิ่นโตของเพื่อนๆ เห็นมีทั้งปลา ไข่ หรือไม่ก็ผัดผักสีเขียวๆ เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ ยิ่งได้ยินเพื่อนๆ บ่นกันเสมอว่า “เฮ้อ! เบื่อแม่จริงๆ เลย ก็รู้อยู่ว่าเราไม่ชอบกินปลา ดูสิ ยังจะห่อปลามาให้อีก” พอก้มดูข้าวเปล่าในปิ่นโตของตัวเอง ก็อดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า นี่คือข้าวเปล่าที่แลกมาจากการขายตัวของพี่สาว ผมปวดแปลบขึ้นที่หัวใจจนแทบจะกินข้าวต่อไม่ลง

ผมบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ได้กินของดีๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ก่อนกับข้าวเน่าบูดยังไงก็ต้องกิน ตอนนี้มีข้าวเปล่าให้กินอย่างนี้แล้วยังจะไม่พอใจอะไรนักหรือ ต่อมาเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ผมก็จะเจียวไข่หรือไม่ก็ใช้น้ำมันหมูกับซีอิ๊วคลุกข้าวมากินบ้าง เท่านี้ก็นับว่าเป็นข้าวห่อปิ่นโตที่หรูหราที่สุดแล้วสำหรับผม แน่นอน ค่าเล่าเรียนก็นับเป็นปัญหาหนักอกอีกปัญหาหนึ่ง ตลอดระยะ 12 ปีของการศึกษานั้น ผมเรียนด้วยทุนเรียนดีตลอดเวลา บางครั้งยังต้องเอาเงินทุนการศึกษามาแปลงเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวก่อนด้วยซ้ำไป รอจนใกล้จะจ่ายค่าเทอมนั่นแหละ ผมถึงจะเริ่มานั่งกลุ้มใจ สุดท้ายก็เดือดร้อนพ่อไปหยิบยืมคนบ้านโน้นนิดบ้านนี้หน่อย โปะๆ รวมกันเข้า ดีที่พ่อตรวจจับชีพจร วินิจฉัยโรค และเขียนใบสั่งยาให้คนในหมู่บ้านอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการหยิบยืมเงินจึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก

สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ในวันก่อนวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างหนึ่งวัน หลังจากที่นักเรียนคนอื่นทยอยออกจากห้องเรียนไปหมดแล้ว คุณครูก็เรียกผมให้เข้าไปหาที่โต๊ะ แล้วหยิบสิ่งของที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ห่อใหญ่ใส่มือผม พอเปิดออกก็ได้กลิ่นขนมบ๊ะจ่างหอมฉุย แล้วครูก็บอกว่า “ขนมบ๊ะจ่างพวกนี้เป็นน้ำใจจากเพื่อนๆ จ้ะ” น้ำใจห่อใหญ่นี้ทำเอาผมแทบซึ้งใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก

หลังจากเทศกาลขนมบ๊ะจ่าง ก็เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ซึ่งผมก็ได้รับขนมไหว้พระจันทร์จากทุกคนอีก เป็นความอบอุ่นที่คุณครูมีให้เป็นความรักที่เพื่อนๆ แบ่งปันให้ …

< ..โปรดติดตามตอนต่อไป..>


Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *