เป็นดาวเด่นในที่ทำงาน…ไม่ยาก

เป็นดาวเด่นในที่ทำงาน…ไม่ยาก
Post Today – ในปีหน้า (2551) คงมีมนุษย์เงินเดือนไม่น้อยที่ตั้งใจว่าจะทุ่มเทการทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเพราะคาดหวังว่าการตั้งใจทำงานตั้งแต่ช่วงต้นปีจะส่งผลให้การประเมินผลปลายปีดีขึ้นเป็นเงาตามตัว ในความเป็นจริงแล้ว การตั้งใจทำงานอย่างเดียวคงยังไม่พอ หากแต่อยู่ที่การปรับบุคลิกของตัวเองให้ดูดี มีการแต่งกายที่เหมาะสม เป็นคนรู้จักกาลเทศะ และรู้จักใฝ่หาความรู้เพื่อพัฒนางานที่ตัวเองกำลังรับผิดชอบอยู่ ก็มีส่วนทำให้คุณกลายเป็นดาวเด่นในที่ทำงานได้อย่างไม่ยากเกินไปนัก …
รศ.ดร.ศักดา ปั้นเหน่งเพ็ชร์ แห่งภาควิชาวาทวิทยา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับอาสามาบอกเล่าสูตรความสำเร็จอย่างง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณก้าวสู่ทำเนียบดาวเด่นในองค์กรอย่างสบายๆ

อย่ามองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก

คนที่อยู่ในโลกแห่งการทำงานนั้น จำเป็นต้องรู้ว่าปัจจุบันคนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตการงานได้นั้น รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ก็มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้คุณก้าวสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นได้

“เราจะเห็นว่า นักธุรกิจหรือผู้บริหารระดับสูง แม้ว่าจะอายุเยอะกันแล้ว แต่ก็พยายามจะทำให้ตัวเองดูเด็กลงกว่าเดิม ดังนั้น จึงมีนักธุรกิจระดับผู้บริหาร นักการเมือง มาลงทุนเรียนคอร์สด้านปรับบุคลิกภาพอยู่มากมาย บางคนมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับบุคลิกภาพให้มาเป็นสไตลิสต์ส่วนตัว ดูแลด้านทรงผม เสื้อผ้า โดยเฉพาะ แต่อย่าลืมว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งสำคัญมากในระยะแรกเท่านั้น และเป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรก แต่จะสิ้นสุดในระยะเวลาอันรวดเร็ว หากบุคคลนั้นไม่มีความรับผิดชอบในการทำงาน หรือมีผลงานไม่เข้าตา”

อย่าทำตัวหล่อเกินเหตุ

ในโลกแห่งการทำงาน คนบางคนดูดี ดูโก้ แต่ไม่ค่อยเป็นมิตร ความประทับใจก็จะลดลงไป แต่ถ้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทำตัวเป็นคนน่ารัก ก็จะมีคนชื่นชอบเยอะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่จะแต่งตัวดูเท่อย่างเดียว แต่จะต้องมีการกระทำอื่นๆ ที่น่าประทับใจตามมาด้วย

“การแสดงออกทางสีหน้า ดูยิ้มแย้ม ไม่เครียด ไม่เกร็ง ไม่หยิ่ง ไม่เชิด พูดจาน่ารัก มองใครด้วยสายตาเป็นมิตร เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการงาน ถ้าเป็นผู้ชายก็อย่าทำตัวหล่อเกินกว่าเหตุ ทำตัวมาดเยอะ คะแนนนิยมก็ตกลงเอาง่ายๆ

นอกจากนี้ จะต้องเรียนรู้ด้วยว่า ธรรมเนียมปฏิบัติในที่ทำงานนั้นเป็นอย่างไรบ้าง อย่างเช่น ไปพบลูกค้า เราต้องทำตัวอย่างไร แต่งตัวอย่างไร พูดกับผู้ใหญ่จะพูดอย่างไร หรือพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีวิธีพูดอย่างไร และต้องศึกษาเรื่องหลักการกิน การดื่ม การใช้นามบัตร การตอบรับบัตรเชิญ เหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ

เราจะเห็นว่าทำไมบางคนจึงก้าวหน้าเร็ว เป็นที่ชื่นชมทั้งในองค์กรและนอกองค์กร คำว่า Performance นั้นกว้างมาก ยังรวมถึงเรื่องของสีหน้า สายตา การกระทำ ความเป็นคนมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะของสังคมด้วย”

เป็นคนมีศักยภาพ

ยังไม่สายเกินไป ที่ปีหน้าพนักงานจะศึกษางานขององค์กรอย่างถ่องแท้มากกว่าเดิม เพื่อให้เป็นคนรู้จริงในสายงานที่ตัวเองรับผิดชอบ

“บางคนมีความรู้ดีในเรื่องของทฤษฎี ไอเดียดี แต่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักที และต้องมีความจัดเจนในการทำงาน เช่น ลูกน้องทำงานมาแล้ว เราไม่พอใจ ก็แก้ให้ดูเลยทันที ให้เขาเห็นเลยว่าเราสามารถทำได้ คนที่ทำงานที่เก่งต้องทำได้ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงยอดไม้ ส่วนความเป็นคนดีก็ต้องมีด้วย เพราะแม้จะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งก็ตาม แต่ขาดคุณธรรมก็จบ และที่ขาดไม่ได้คือต้องเป็นคนมีศีลธรรม”

มีทักษะในการสื่อสาร

คนที่คาดหวังจะประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน จะต้องมีทักษะด้านการสื่อสารควบคู่กันไปด้วย “ยกตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ของการสัมภาษณ์ หัวหน้างานก็ต้องถามคำถามที่ดี คนตอบก็ต้องตอบอย่างรู้เท่าทันว่าคนที่ถามเราต้องการอะไรจากเรา ส่วนในสถานการณ์ของการทำงานจริงๆ หัวหน้างานก็ต้องมีทักษะในการออกคำสั่งมอบหมายงาน หัวหน้างานควรต้องสั่งงานอย่างถ้วนถี่ และมีความรอบคอบควบคู่กันไป

ลูกน้องก็เหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องถามหัวหน้างานทันที ไม่ควรนำเอาไปตีความเอง พองานออกมาไม่ตรงกัน ก็ทำให้ทะเลาะกันเปล่าๆ เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่ายต้องใช้ทักษะการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันมากที่สุด”

แต่งตัวให้เป็น

แม้ว่าเสื้อผ้าจะเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกก็ตาม แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการทำงาน ดังคำพูดที่ว่า แต่งตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เดี๋ยวนี้จะเห็นว่าคนทำงานออฟฟิศรุ่นใหม่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าสวมใส่มากกว่าแต่ก่อน

นับตั้งแต่ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เทรนด์การแต่งกายโดยภาพรวมนั้นลดความเป็นทางการลงอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ทำงานออฟฟิศทั้งหลาย “อย่างที่นิวยอร์กเอง การแต่งตัวก็ลดความเป็นทางการลง โดยเฉพาะในช่วงปี 2005-2007 จะเห็นได้ชัดเจนมาก เช่นเดียวกับในปีหน้า ผมได้อ่านหนังสือชื่อ The Guy’s Guide to Looking Good เขียนโดย Carson Kressley เป็นหนังสือที่ติดอันดับขายดีของนิวยอร์ก ไทมส์ มีเนื้อหาที่น่าสนใจบ่งบอกว่า หนุ่มทำงานในนิวยอร์กเวลาที่สวมสูททั้งชุดนั้น รองเท้าที่เขาใส่จะเป็นรองเท้าลำลองที่ใส่กับชุดทักซิโด และใส่กับแบล็กไทได้เช่นกัน และยังสามารถนำรองเท้าแบบลำลองมาสวมกับสูทชุดกลางวันโดยที่ไม่ต้องใส่ถุงเท้าได้ด้วย”

ในโลกปัจจุบัน ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรเองก็ลดระดับการแต่งตัวที่เป็นทางการลงมาเช่นเดียวกัน อย่างเช่นที่นิวยอร์กตอนนี้ พบว่าสูทประเภทสีเข้ม สีกรมท่า แทบจะไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่

รศ.ดร.ศักดา กล่าวว่า “ถ้าเราไปนิวยอร์กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกคนติดใส่เสื้อที่เป็นลายเส้น สีดำ สีเทา สีน้ำเงิน แล้วแมตช์กับเสื้อเชิ้ตขาว แต่เดี๋ยวนี้จะพบว่า สูทสีน้ำตาล สีออกทองๆ แล้วแจ็กเกตที่เป็นสปอร์ตโค้ต จะใส่กันเยอะขึ้น ดูลำลองลง มีสีสันมากขึ้น

ส่วนทรงผมเมื่อก่อนก็จะหวีเรียบใส่น้ำมัน เดี๋ยวนี้เป็นทรงทันสมัย แทบจะไม่เห็นแบบ wet look ที่ใส่เจลแบบเดิมๆ ทรงผมจะดูสบายๆ ทำสีผมกันมากขึ้น แล้วก็ปล่อยผมแบบสบายๆ รับอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น แว่นตาที่เห็นเป็นกรอบแข็งๆ เดี๋ยวนี้ก็จะซอฟต์ลง แต่เทรนด์ที่เห็นสำคัญมากก็คือ ผู้ชายหันมาดูแลผิวพรรณ ดูแลตัวเองมากขึ้น”

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *