อัสสกชาดกไม่รู้ของจริงเพราะมีสิ่งใหม่ๆ ปิดไว้

อัสสกชาดกไม่รู้ของจริงเพราะมีสิ่งใหม่ๆ ปิดไว้
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ความย่อมีว่า ภิกษุนั้นพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่าเพราะเหตุไร เธอจึงกระสัน กราบทูลว่า เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนั้นมีความรักในเธอมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเธอก็ได้รับทุกข์ใหญ่หลวงเพราะอาศัยหญิงนั้นเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาลพระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครชื่อว่า ปาฏลิ แคว้นกาสี พระองค์มีอัครมเหสีพระนามว่าอุพพรี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระองค์ มีรูปโฉมงดงามน่าดู พระนางได้สิ้นพระชนม์ลง พระราชาทรงโศกาดูร เสวยทุกข์โทมนัสยิ่งนักเพราะการสิ้นพระชนม์ของพระนางนั้น พระองค์ให้เชิญพระศพของพระนางลงในรางแล้วใส่น้ำมันหล่อไว้ ยกไปตั้งไว้ใต้พระแท่นไสยาสน์ ทรงอดพระกระยาหารบรรทมกันแสงปริเทวนาการ พระราชมารดา พระราชบิดา หมู่พระญาติ มิตร อำมาตย์ พราหมณ์ คหบดีเป็นต้น พากันทูลปลอบโยนเป็นต้นว่า อย่าทรงเศร้าโศกไปเลย มหาราช สังขารทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยง ก็ไม่สามารถให้พระองค์ยินยอมได้ พระองค์ทรงรำพันอยู่เช่นนั้นล่วงไป ๗ วัน
ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็นดาบสสำเร็จอภิญญาห้าและสมาบัติแปด อยู่ในหิมวัตประเทศ เจริญอาโลกกสิณตรวจดูชมพูทวีปด้วยทิพยจักษุ เห็นพระราชาปริเทวนาการอยู่อย่างนั้น ดำริว่าเราควรเป็นที่พึ่งของพระราชาพระองค์นั้น จึงเหาะไปบนอากาศด้วยอิทธานุภาพ แล้วลงไปในพระอุทยานนั่งเหนือแผ่นมงคลศิลาราวกะว่า พระปฏิมาทองคำ
ครั้งนั้นมาณพพราหมณ์ชาวนครพาราณสีคนหนึ่ง ไปพระอุทยานเห็นพระโพธิสัตว์จึงนั่งลงไหว้ พระโพธิสัตว์กระทำปฏิสันถารกับมาณพนั้นแล้วถามว่า มาณพ พระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรมหรือ
มาณพตอบว่า ขอรับพระคุณเจ้า พระราชาทรงตั้งอยู่ในธรรม แต่พระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระองค์เชิญพระศพของพระนางไว้ในราง แล้วทรงบรรทมพร่ำเพ้อรำพัน วันนี้เป็นวันที่ ๗ พระคุณเจ้าจะไม่ช่วยพระราชาให้พ้นจากทุกข์บ้างหรือ มีผู้มีศีลเช่นท่านสมควรจะให้พระราชาเสวยทุกข์เช่นนั้นหรือ
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เราไม่รู้จักพระราชา หากพระราชาจะเสด็จมาถามเรา เรานี่แหละจะทูลบอกที่ที่พระมเหสีไปเกิด จะให้พระนางตรัสสนทนากับพระราชาที่เดียว
มาณพนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้านั่งรออยู่ที่นี้ จนกว่ากระผมจะทูลเชิญพระราชาเสด็จมา
มาณพรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์แล้ว ไปเฝ้าพระราชา กราบทูลความนั้น แล้วทูลพระองค์ควรเสด็จไปยังสำนักของท่านผู้มีจักษุทิพย์ พระราชาทรงดีพระทัยที่จะได้ทรงเห็นพระนางอุพพรี เสด็จขึ้นรถไปอุทยาน ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่งถามว่า ได้ยินว่าท่านรู้ที่เกิดของพระเทวีจริงหรือ
พระโพธิสัตว์ทูลว่า จริง มหาบพิตร
ตรัสถามว่า เกิดที่ไหน
ทูลว่า ขอถวายพระพร พระนางทรงมัวเมาในรูป อาศัยความเมา ไม่ทรงทำกรรมดี จึงไปเกิดในกำเนิดหนอนมูลโค
ตรัสว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อ
ทูลว่า ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะแสดงแก่พระองค์แล้วให้พูด
ตรัสว่า ดีแล้ว จงให้พระนางพูดเถิด
พระโพธิสัตว์ได้ทำให้หนอนสองตัวมาด้วยอานุภาพของตน โดยอธิษฐานว่าขอให้หนอนสองตัวจงชำแรกก้อนโคมัย (มูลโค) ออกมาเบื้องพระพักตร์ของพระราชา หนอนสองตัวก็ออกมาตามนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงพระเทวี จึงกราบทูลว่า มหาบพิตร พระเทวีอุพพรีนี้จากพระองค์ไปแล้ว เดินตามหลังหนอนโคมัยมา ขอพระองค์จงทอดพระเนตรเถิด
พระราชาตรัสว่า พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า สัตว์ที่เกิดในกำเนิดหนอนโคมัยนี้คือ อุพพรี
พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมาจะให้หนอนนั้นพูด
ตรัสว่า ให้พูดเถิด พระคุณเจ้า
พระโพธิสัตว์เมื่อจะให้หนอนพูดด้วยอานุภาพของตน จึงเรียกว่า แน่ะนางอุพพรี
นางหนอนพูดเป็นภาษามนุษย์ว่า อะไรเจ้าคะ
พระโพธิสัตว์ถามว่า ในอัตภาพที่ล่วงแล้วท่านเป็นอะไร
ตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ ชื่ออุพพรี เจ้าค่ะ
ถามว่า ก็เดี๋ยวนี้พระราชาอัสสกะยังเป็นที่รักของของเจ้าหรือว่า หนอนโคมัยเป็นที่รักของเจ้า
ตอบว่า ท่านเจ้าขา พระราชาเป็นพระสวามีของข้าพเจ้าในชาติก่อน ครั้งนั้นข้าพเจ้าเที่ยวชื่นชมรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะกับพระราชานั้นในอุทยานนี้ แต่เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ข้าพเจ้าไปต่างภพกันแล้ว พระราชาอัสสกะจะเป็นอะไรกับข้าพเจ้าเล่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะสังหารพระเจ้าอัสสกะ เอาพระโลหิตในพระศอของพระองค์มาล้างเท้าของหนอนโคมัยผัวของข้าพเจ้าเสีย
พระเจ้าอัสสกะได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงแค้นพระทัย ยังประทับอยู่ ณ ที่นั้น รับสั่งให้ย้ายศพพระเทวีออกไป ทรงสรงสนานพระเศียร แล้วไหว้พระโพธิสัตว์ เสด็จเข้าพระนคร ทรงอภิเษกสตรีอื่นเป็นอัครมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถวายโอวาทพระราชาให้ทรงหายโศกแล้ว ก็ได้กลับไปยังป่าหิมพานต์
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระเทวีอุพพรีในครั้งนั้นได้เป็นภรรยาเก่า (ของภิกษุนั้น) ในครั้งนี้ พระเจ้าอัสสกะได้เป็นภิกษุกระสัน มาณพได้เป็นสาริบุตร ส่วนดาบส คือเราตถาคตนี้แล

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *