ลักษณะหัวหน้าสร้างคน

ลักษณะหัวหน้าสร้างคน
 
วันที่ : 14 มิถุนายน 2550 นิตยสาร/หนังสือพิมพ์ : งานอัพเกรด
 
              “หากงานที่เราให้คนรุ่นหนุ่มทำนั้น ง่ายและสบายเกินไปที่จะทดสอบและท้าทายความสามารถ คนรุ่นหนุ่มเหล่านี้มักจะเข้าสู่วัยกลางคนที่ไม่มีประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว นักบริหารทุกคนมักจะบ่นอยู่เสมอว่าคนหนุ่มที่มีไฟแรงมักจะกลายเป็นไม้ที่มอดไฟเร็วเกินไป ซึ่งอันที่จริงแล้ว เขาควรจะตำหนิตัวเองว่าเป็นคนหรี่ไฟของคนเหล่านั้นลงด้วยการให้พวกเขาทำงานเล็ก ๆ และไม่ท้าทายเท่าที่ควร”

              ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ ได้กล่าวข้อความข้างต้นไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง ในหนังสือ The Effective Executive สะท้อนให้เห็นว่า คนทำงานแต่ละคนในองค์กรเป็นเหมือนต้นไม้ที่พร้อมจะเติบโตขึ้น มิใช่เครื่องจักรที่ทำเพียงสิ่งเดิม ๆ ตามที่กำหนดไว้ ดังนั้น หากเราไม่เลี้ยงดูต้นไม้ ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปวันๆ ในที่สุดย่อมเหี่ยวเฉา เช่นเดียวกับ คนทำงานหากไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ได้รับการหยิบยื่นโอกาสให้ทำงานใหม่ ๆ ที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดคนทำงานย่อมเป็นเหมือนต้นไม้ที่แคระแกร็น และก่อประโยชน์ต่อองค์กรได้ในขอบเขตที่จำกัด

              การพัฒนาทีมงานจึงเป็นหน้าที่สำคัญ สำหรับหัวหน้างานทุกคน หัวหน้าต้องพัฒนาทีมงาน โดยตระหนักว่า การพัฒนาทีมงานจะช่วยให้แผนกหรือฝ่ายของเราผลิตงานได้มากขึ้น งานขยายและพัฒนาได้มากขึ้น หัวหน้างานสามารถขยับขยายไปทำงานที่สำคัญกว่าเดิมได้มากขึ้น ผลสรุปคือ องค์กรประสบความสำเร็จ เพราะได้งานเพิ่มขึ้นและพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

              อย่างไรก็ตาม หัวหน้างานจำนวนไม่น้อย ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทีมงาน ทั้งนี้เนื่องจากขาดองค์ประกอบสำคัญที่เอื้อต่อการพัฒนาทีมงาน ซึ่งควรมีครบถ้วนอย่างน้อย 7 ประการ อันได้แก่

              ประการแรก ความปรารถนาพัฒนาทีมงาน หากปราศจากซึ่งความปรารถนานี้แล้ว ให้ความสำคัญเพียงการสั่งงาน ควบคุมงาน และประเมินงานเท่านั้น ในที่สุดศักยภาพของทีมงานจะจำกัด ไม่ได้รับการพัฒนา และจะไม่สามารถรับมือหรือปรับตัวเข้ากับปัญหาใหม่ ๆ ได้ เพราะขาดการสนับสนุนให้เรียนรู้จากหัวหน้างาน ดังนั้น ในฐานะหัวหน้างานจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยความปรารถนาที่จะพัฒนาคนในทีมทุกคน ให้มีความรู้ ทักษะ ความสามารถด้านต่าง ๆ เพิ่มพูนขึ้น

              ประการที่สอง ทัศนคติที่ถูกต้องในการพัฒนา หัวหน้าหน่วยงานควรมีทัศนคติที่ถูกต้อง ในการพัฒนาทีมงาน อาทิ เห็นคุณค่าคน ตระหนักในศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวที่มีในแต่ละคน และพยายามเอาออกมาใช้ให้หมด เห็นทุกคนคือเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจส่งเสริมพัฒนาให้ทุกคนไปถึงความสำเร็จ ที่สำคัญ ต้องสร้างความรู้สึกให้ทีมงาน สัมผัสได้ว่าตนเองอยู่ในทีมที่แข็งแกร่งและมีโอกาสประสบความสำเร็จ พัฒนายั่งยืน พัฒนาต่อเนื่อง มองเห็นเป้าหมายของตนเองในอนาคต

              ประการที่สาม เป้าหมายการนำชัดเจน หัวหน้าต้องมีเป้าหมายหรือจุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการพัฒนาใคร เรื่องอะไร เพื่อเป้าหมายต้องการให้เขาเป็นเช่นไร คำถามที่ควรอยู่ในใจเราคือ ทีมงานแต่ละคนกำลังเข้าไปใกล้ขีดจำกัดของศักยภาพพวกเขาหรือยัง?” เราจะให้ตั้งเป้าขยายศักยภาพทีมงานออกไปด้านใดอีกบ้าง? และในการวางแผนและการกำหนดเป้าหมายของทีมงานแต่ละ ควรให้ทุกคนมีเป้าหมายการพัฒนาศักยภาพ หรือ พัฒนาตนเองสู่ความเป็นมืออาชีพบางอย่างด้วย

              ประการที่สี่ เข้าใจธรรมชาติคน หัวหน้าหน่วยงานต้องรู้ถึงธรรมชาติเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน อะไรเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ และสามารถประยุกต์ใช้ความเข้าใจนี้สร้างแรงจูงใจแก่ผู้ร่วมงานอย่างเหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์ หัวหน้าหน่วยงานยังต้องมีความสามารถในการดลจิตดลใจผู้ร่วมงานหรือทีมงาน ให้เกิดแรงบันดาลใจจนทุ่มเทความสามารถให้แก่งานที่รับผิดชอบอยู่ ต้องสามารถจูงใจพาทีมงานให้เกิดความจงรักภักดี ความผูกพันอุทิศตัว การร่วมแรงร่วมใจกับผู้นำและองค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาด้วย

              ประการที่ห้า ค้นหาและดึงศักยภาพ คนแต่ละคนต่างก็มีส่วนดีอยู่ในชีวิตของตนเอง ในหนังสือ ข้อคิดเพื่อชีวิต ผมได้กล่าวไว้ว่า “เราทุกคนนั้นมีคุณค่าในตัวเองหากเปรียบเทียบตัวเราก็เหมือนกระจาด ๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งดีหลากหลายอย่างผสมผสานเป็นตัวเรา” หัวหน้าหน่วยงานจึงควรเป็นผู้ที่สามารถดึงเอาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของผู้ร่วมงาน ออกมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะธรรมชาติคนทั่วไปย่อมปรารถนาจะนำเอาความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่ ออกมาใช้อย่างเต็มที่ หัวหน้าหน่วยงานที่ดีจึงต้องพยายามหาหนทางที่จะดึงเอาศักยภาพของผู้ร่วมงานออกมา เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่อย่างมากที่สุด รวมทั้งยังต้องให้ผลตอบแทนเขาตามระดับความรู้ความสามารถที่เขาใช้ไปเพื่อองค์กรด้วย

              ประการที่หก เป็นแบบอย่างชีวิตที่มีอิทธิพล ผู้นำต้องส่งอิทธิพลต่อผู้อื่น ต้องสามารถใช้สิ่งต่าง ๆ ทุกองค์ประกอบที่ตนเองมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพ ความรู้ ความสามารถ อิทธิพลชีวิต แบบอย่างของพฤติกรรม ตลอดจนอำนาจที่ตนเองมีอยู่ ส่งอิทธิพลต่อทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้ร่วมงานหรือทีมงาน เพื่อให้คนเหล่านั้นยินยอมร่วมมือร่วมใจทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้  

              สิ่งสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อทีมงานได้มากที่สุดก็คือ “แบบอย่างชีวิต” คนจะได้รับอิทธิพลเมื่อเห็นแบบอย่าง หากอิทธิพลชีวิตที่มาจากความจริงจัง จริงใจ และความมั่นคงภายในของเราแรงพอ ย่อมทำให้คนที่อยู่ใกล้เราเปลี่ยนแปลงตามได้ไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เราอยากให้สมาชิกของทีมงานหรือทีมงานของเราเป็น เราต้องเริ่มต้นที่การเป็นแบบอย่างของเราเสียก่อนเป็นอันดับแรก แล้วคำท้าทายและคำแนะนำที่มีต่อทีมงานของเราจึงจะมีน้ำหนักเพียงพอ

              ประการที่เจ็ด นำอย่างมี “ศิลปะ” หัวหน้าหน่วยงานต้องมีความสามารถในการปรับรูปแบบการนำหรือการทำงานให้เหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้บุคคลเหล่านั้นทำงานตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยตระหนักว่า ไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดกับทุกสถานการณ์เพราะรูปแบบหนึ่งอาจเหมาะสมกับสถานการณ์แบบหนึ่ง แต่ไม่เหมาะสมเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป   ต้องมีสติปัญญาในการวิเคราะห์สถานการณ์ และรู้จักประยุกต์ใช้แบบแผนการนำอย่างเหมาะสมสอดคล้องเวลา บุคคล และโอกาส
           
              หากเราต้องการให้สิ่งที่เราทำอยู่นั้นยั่งยืนสืบต่อไป “ผู้นำ” จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่สำคัญมากกว่า การสั่งคน การใช้คน การควบคุมคน แต่ต้อง “สร้างคน” รุ่นต่อ ๆ ไป ให้สามารถก้าวขึ้นมาสานต่อบทบาทหน้าที่แทนเราหรือเหนือกว่าเราได้ อันส่งผลให้กิจการที่ทำนั้นเติบโตได้ต่อไปในอนาคต

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *