ยุทธศาสตร์สร้างคน "บิวท์ ทู บิวด์" Management by Walking Around หล่อเลี้ยงทั้งสมองและหัวใจ

ยุทธศาสตร์สร้างคน “บิวท์ ทู บิวด์” Management by Walking Around หล่อเลี้ยงทั้งสมองและหัวใจ

“การทำงานเกี่ยวกับคน ต้องหล่อหลอม ต้องซื้อใจ ไม่ใช่ว่าใส่น้ำมัน ใส่โปรแกรมเข้าไป แล้วจะออกมาเหมือนคอมพิวเตอร์ แต่คนต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วยสมองและหัวใจ สมองต้องพัฒนา ต้องให้ความรู้ สร้างทัศนคติที่ดี ครองใจ พนักงานให้ได้ ให้เขาภักดีต่อองค์กร ให้เขาเข้าใจถึงวัฒนธรรมองค์กร”

นี่คือหลักการบริหารจัดการคนของ “สุธี เกตุศิริ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ศิษย์ก้นกุฏิ “กอบชัย ซอโสตถิกุล” แห่งซีคอน

ด้วยความที่บิวท์ ทู บิวด์ เป็นบริษัทรับสร้างบ้านระดับสูง การเตรียมคนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

การที่คนคนหนึ่งจะควักเงินที่เก็บหอมรอมริบมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อสร้างบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะเข้าไปนั่งอยู่ในใจลูกค้าได้ เป็นโจทย์ที่บิวท์ ทู บิวด์ต้องฝ่าฟันไปให้ได้

“เป้าสำคัญที่สุดของพนักงานจะต้องมองไปที่ลูกค้า ตราบใดที่ทำบ้านให้ลูกค้าเขาสมปรารถนามากกว่าสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ เมื่อนั้นธุรกิจจึงจะประสบความสำเร็จ ถือว่าได้ทำหน้าที่บริษัทรับสร้างบ้านอย่างเยี่ยมยอด”

ธุรกิจนี้สร้างความสุขให้กับคน สินค้าที่ผลิตออกมาต้องมีคุณภาพ ขายได้ และที่สำคัญลูกค้าต้องพอใจ ฉะนั้นเรื่องการพัฒนาบุคลากร การปรับทัศนคติของบุคลากร จึงเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญมาก

เรื่องของซอฟต์แวร์สำคัญกว่าฮาร์ดแวร์ !

“ซอฟต์แวร์คือทัศนคติของคน ฮาร์ดแวร์คือความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ บริษัทพยายามให้พนักงานทุกคนได้รู้ซึ้งถึงภาระหน้าที่ของตัวเอง เมื่อบริษัทสัญญากับลูกค้าไว้ว่าจะสร้างบ้านที่ดี คุ้มค่าให้ลูกค้า ทุกคนก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่”

บิวท์ ทู บิวด์ใช้เวลา 2 ปีเศษ ในการพัฒนาตัวเองมาถึงจุดที่พนักงานมีความเข้าใจในตัวลูกค้ามากขึ้น รู้วิธีรับมือกับลูกค้า โดยมีการ สับเปลี่ยนบุคลากร เอาผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้ามา ตรงไหนที่ต้องพัฒนาก็ต้องเร่งพัฒนา ทั้งเซลส์ วิศวกร ทีมงานก่อสร้างต้องปรับปรุงไปพร้อมๆ กัน

งานรับสร้างบ้านระดับสูงแม้จะเป็นงานที่ยาก ไม่เหมือนการทำโครงการจัดสรร สร้างบ้านให้ลูกค้า 50 คน ก็ 50 สไตล์ แต่สำหรับ “สุธี” มองว่านี่คือความท้าทาย

โดยที่ “สุธี” ต้องทำหน้าที่ของผู้นำอย่างเข้มข้น !

“ผมในฐานะผู้บริหารจะนำทีมออกไปดูไซต์งานทุกสัปดาห์ ถ้าผมออกไปคนหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ต้องออกไปหมด มีการอบรมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีซูเปอร์ไวเซอร์ มีวิศวกรคุมงานก่อสร้างหน้างาน คุมช่างอีกต่อหนึ่ง มีผู้ตรวจสอบที่ขึ้นกับผมโดยตรงไปตรวจสอบงานกับ ซูเปอร์ไวเซอร์กับทีมช่างและโฟร์แมนเพื่อครอสเช็กว่า งานที่ออกมามีคุณภาพหรือเปล่า”

“คนไหนทำงานดี เวลามีผู้ใหญ่มาดูแล้วชม ก็จะภูมิใจ ถ้าทำดีแล้วไม่มีใครดู ก็ไม่รู้ว่าจะทำดีกันไปทำไม พอผู้ใหญ่ลงไปดูสิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนที่ดีได้มาตรฐานก็ต้องชมเชย”

สำหรับการนำคนนั้น “กอบชัย ซอโสตถิกุล” ถือเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เป็น roll model ในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต ในการทำงาน ท่านจะพูดให้ลูกน้องฟังเสมอว่า ทำธุรกิจไม่ใช่ทำเพื่อเงินอย่างเดียว แต่ต้องทำงานที่เป็นประโยชน์กับสังคมด้วย

“สุธี” ก็ได้เดินรอยตาม พยายามหล่อหลอมและชี้ให้พนักงานทุกคนเห็นว่า ชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร การจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่จำเป็นต้องเอาเปรียบหรือโกงคนอื่น

“ผมจะบอกพนักงานเสมอว่า เวลาทำงานสามารถทำบุญ ทำกุศลไปด้วยได้ เพราะถ้าทุกคนมีความซื่อตรงต่อตัวเอง ต่อสังคม ต่องานที่ทำ การสร้างบ้านเป็นงานที่สร้างสรรค์ ถ้าทำสำเร็จก็จะทำให้สังคมดีขึ้น คนที่มาอยู่ในบ้านก็มีความสุขร่วมกัน เงินทุกบาทที่ได้มาจากลูกค้าต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

และการบริหารคนมันจำเป็นต้องพูดแล้วพูดอีก

“แต่ละฝ่ายจะมีการประชุมกันทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ผมก็จะไปนั่งเป็นประธาน ผมจะพูดแล้วพูดอีก ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจเมืองไทยให้ทุกคนฟัง แนะนำหนังสือดีๆ ให้พนักงานอ่าน และทุกๆ 3 เดือนจะมีการสรุปผลงานของบริษัทให้พนักงานทั้งองค์กรฟัง เล่าให้ทุกคนฟังว่าที่ผ่านมาบริษัทได้ทำอะไรไปบ้าง ดีหรือไม่ดีอย่างไร บอกทุกคนไปไกลถึงขั้นทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าได้ เช่น การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี ถ้าเกิดปัญหาทุกอย่างต้องตัดสินบนพื้นฐานของความยุติธรรม”

เมื่อต้องการงานคุณภาพ ก็ต้องใช้คนคุณภาพ การอัดฉีดพนักงาน จึงต้องให้ทั้งเงินและกล่องไปพร้อมๆ กัน

“คนบิวท์ ทู บิวด์จะได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง นอกจากเงินเดือน โบนัสแล้ว หากทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็ยังได้เงินอัดฉีดอีก ฝ่ายก่อสร้างก็มีเงินรางวัลให้ ขอให้ทุกคนทำงานเต็มที่”

แต่อย่างไรก็ตาม “สุธี” จะย้ำกับทุกคนตลอดว่า บริษัทไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ตราบใดที่อยู่ที่นี่ต้องพยายามเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด

“ที่นี่เป็นเสมือนโรงเรียน เป็นบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำที่ดีที่สุดในเวลานี้ ผู้จัดการทุกฝ่ายที่นั่งอยู่ที่นี่ถูกคัดเลือกมาสุดยอดทุกคน ต้องพยายามเรียนรู้จากคนเหล่านี้ให้มาก และทุกคนต้องฝันว่า สักวันหนึ่งจะต้องก้าวมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ให้ได้ หรือหากวันหนึ่งวันใดออกไปทำงานกับบริษัทไหนก็ตาม ก็จะได้มีความรู้ติดตัวไป”

บิวท์ ทู บิวด์แม้จะรับสร้างบ้านระดับสูงแต่การบริหารจัดการภายในองค์กรก็ยังค่อนข้างติดดิน ต่างจากบริษัทขนาดกลางขนาดใหญ่รายอื่นๆ

“ผมจะเดินวันหนึ่งเป็น 10,000 เที่ยว ยิ้มให้คนโน้น ทักทายคนนี้ เป็น management by walking around”

และบิวท์ ทู บิวด์จะมีกติกาชัดเจน ไม่มีการเมืองภายใน พนักงานทุกคนเข้าถึงผู้บังคับบัญชาโดยตรง ไม่มีการกั๊กข้อมูล บ้านหลังหนึ่งทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ เวลาประชุมร่วมกัน ทุกฝ่ายต้องฟังซึ่งกันและกัน ฝ่ายการเงินก็ต้องฟังฝ่ายก่อสร้าง ว่าเขามีปัญหาอย่างไร ฝ่ายจัดซื้อมีปัญหาอย่างไร ฝ่ายการตลาดก็ไม่มองเฉพาะมุมตลาดด้านเดียว ฝ่ายก่อสร้างก็ต้องมองมุมอื่นด้วย ตรงนี้เป็นช่องทางที่ให้ทุกคนได้แชร์ความรู้ซึ่งกันและกัน

“จะมีการสื่อสารกันตลอดทั้งภายในองค์กรและกับลูกค้า จะมีพนักงานลูกค้าสัมพันธ์คอยโทรศัพท์ไปหาลูกค้าทุกเดือน สอบถามลูกค้าว่า เป็นอย่างไรบ้าง หากฝ่ายจัดซื้อไปตรวจงานแล้วพบว่าวัสดุกองเกะกะก็จะกลับมารายงาน ฝ่ายที่ดูแลก็ต้องเข้าไปจัดการ”

และทุกคนตรวจสอบกันได้หมด แม้กระทั่งผู้บริหารเบอร์หนึ่งอย่าง “สุธี เกตุศิริ” ยังเปิดใจให้ทุกฝ่ายครอสเช็กได้ตลอดเวลา

นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการบริหารจัดการองค์กรที่น่าสนใจไม่น้อย

ที่มา :www.matichon.co.th

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *