ฟิลลิป ฟิชเชอร์ (PHILIP A. FISHER)

ฟิลลิป ฟิชเชอร์ (PHILIP A. FISHER)
Investment Guru

“ในหมู่นักลงทุนที่ขึ้นชื่อของโลกนั้นมีหลายท่านด้วยกัน ในแต่ละท่านนั้นก็จะมีแนวทางและวิธีการลงทุนที่คล้ายคลึงกันบ้างแตกต่างกันบ้าง หากเราได้เรียนรู้และเลือกใช้แนวทางและวิธีการลงทุนของแต่ละท่านให้เหมาะสมกับตัวเรานั้นจะเป็นการดีหรือไม่ Thai Value Investor.com จึงได้นำเสนอประวัติ แนวคิดและวิธีการของนักลงทุนแต่ละท่านเป็นลำดับไป”

Warren Buffett เคยพูดอยู่เสมอว่าวิธีการลงทุนของเขานั้น 70% มาจาก Benjamin Graham อีก 30%มาจาก Phil Fisher เขาผู้นี้เป็นใคร ทำไม่นักลงทุนระดับ Warren Buffett ถึงได้กล่าวไว้เช่นนั้น เราลองมามาดูประวัติ และแนวทางการลงทุนของเขากัน

ลักษณะงาน
ที่ปรึกษาการลงทุนในบริษัทของเขาเอง
รูปแบบการลงทุน
เป็นนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโดยการซื้อและถือยาวมาก
ประวัติ
หลังจากผ่านการอบรบนักวิเคราะห์ ที่ธนาคาร ซานฟานซิสโก เขาก็เริ่มเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในบริษัทของเขาเองเมื่อปี 1931 เขาจะเชี่ยวชาญในการลงทุนในธุรกิจที่เขารู้จักดี ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาของบริษัท เขาเริ่มใช้กลยุทธ์การลงทุนนี้ก่อนการเกิดของ Silicon Valley ถึง 40 ปี.
บริษัทที่เขามักแนะนำให้ลูกค้าซื้อมักเป็นบริษัทLow-tech เช่นบริษัทเคมีภัณฑ์ใหญ่ๆ หรือบริษัทผลิตเครื่องจักรอาหาร หลังจากนั้นเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่เห็นถึงคุณค่าของหุ้นในกลุ่มHi-techอย่าง Motorola และ Texas Instruments
ขณะที่เขามีอายุได้ 90ปี เขายังคงทำงานในลักษณะเดิมอย่างที่เคยทำ เขาเป็นคนที่ใช้เหตุผล และยึดหลักปฎิบัติอย่างเข้มงวด เขาเป็นคนเดียวที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่เขาได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดรอบครอบ โดยศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ การสัมภาษณ์ผู้บริหารและคู่แข่งของบริษัท และสิ่งนี้ทำให้เขาเข้าถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ก่อนใคร
ความสำเร็จที่สำคัญ
ฟิชเชอร์ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เท็กซัส อินสทรูเม้นต์ ในปี 1956 นานมากก่อนที่บริษัทนี้จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในปี1970 ราคาเมื่อเริ่มซื้อขายที่ 2.7 เหรียล และหลังจากนั้นราคาก็ขึ้นไปถึง 200 เหรียล เพิ่มขึ้น 7400% โดยที่ไม่เคยจ่ายปันผลเลย เขาได้รับผลตอบแทนที่สูงมากจากการลงทุนในบริษัทนี้
วิธีการ และแนวทางในการลงทุน Methods and guidelines
ให้ความสนใจในหุ้นบริษัทใหม่ที่มีการเติบโต (Young growth stock)
เพื่อให้ได้มาซึ่งความชัดเจน นักลงทุนควร
– อ่านข้อมูลทุกอย่างที่หาได้ ทั้งจากวารสาร รายงานของบริษัทหลักทรัพย์
– สนทนากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่นผู้จัดการ พนักงาน โดยเฉพาะกับผู้ป้อนวัตถุดิบ ลูกค้า คู่แข่ง
– เยี่ยมชม สถานที่ทำงานในจุดต่างๆของบริษัทเช่นโรงงาน สาขา ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรไปแค่สำนักงานใหญ่
– ก่อนที่จะซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ จะต้องแน่ใจว่าสามารถตอบคำถามทั้ง15ข้อดังต่อไปนี้ได้

1.บริษัทนี้มีสินค้า หรือบริการที่มีศักยภาพทางการตลาด ที่สามารถทำยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในอีกหลายๆปีข้างหน้าได้หรือไม่?
2.ผู้บริหารของบริษัทมีแนวทางในการพัฒนาสินค้าใหม่ หรือขบวนการใหม่ๆที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขายสินค้า ในขณะที่สิ้นค้าชนิดเดิมก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง
3.การวิจัยและพัฒนาของบริษัทมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับขนาดของบริษัท?
4.บริษัทนี้มีหน่วยงานขายที่อยู่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?
5.บริษัทนี้มีกำไรขั้นต้นสูงหรือไม่ ?
6.บริษัทมีกลยุทธ์อะไรในการรักษาหรือเพิ่มกำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น?
7.บริษัทมีหน่วยงานแรงงานสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่?
8.ผู้บริหารภายในบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือไม่
9.การจัดการของบริษัทมีความซับซ้อนหรือไม่
10.บริษัทมีการวิเคราะห์และควบคุมต้นทุน และบัญชีดีแค่ไหน
11.บริษัทมีแนวทางในการสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันอย่างไร
12.บริษัทมีทัศนะทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อการทำกำไรของบริษัทอย่างไร?
13.ในอนาคตที่ไม่สามารถคาดเดาได้นั้น หากบริษัทต้องการเงินทุนด้วนการระดมทุนเพิ่มเพิ่มเพื่อสร้างการเติบโตให้สูงขึ้น การที่มีหุ้นเพิ่มสูงขึ้นจะกระทบผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นมากน้อยอย่างไร?
14.ให้สังเกตว่า เมื่อยามที่กิจการไปได้ดีผู้บริหารของบริษัทยินดีที่จะพูดคุยอย่างตรงไปตรงมากับนักลงทุน แต่ในยามที่มีเหตูการเลวร้ายผู้บริหารจะหายตัวไปหรือไม่?
15.บริษัทมีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์หรือไม่
ที่มา : Common Stocks and Uncommon Profits, P Fisher, 1958
– เขามีเหตุผลเพียงสามประการที่จะตัดสินใจขายหุ้นออก
– เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการวิเคราะห์หุ้นที่ซื้อมาแล้ว
– บริษัทนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถผ่านหลักเกณฑ์ทั้ง15ข้างต้นได้เหมือนที่เคยเป็น
– สามารที่จะนำเงินลงทุนในบริษัทเดิมไปลงทุนในบริษัทอื่นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่ามากๆ และก่อนจะตัดสินใจลงไปต้องแน่ใจว่ามีเหตุผลที่หนักแน่นพอ

ประโยคทอง Key sayings
“ผมไม่ต้องการการลงทุนที่ดีจำนวนมากๆ แต่ผมต้องการบริษัทที่ดีที่สุดจำนวนไม่มากนัก”
“I don’t want a lot of good investments; I want a few outstanding ones.”
“รางวัลอันยิ่งใหญ่จากการลงทุน นั้นมาจากบุคคลที่โชค หรือมีความรู้สึกพิเศษในการเลือกลงทุนในบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตของยอดขายและกำไรได้อย่างยาวนาน และเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมทั้งหมด”
“The greatest investment reward comes to those who by good luck or good sense find the occasional company that over the years can grow in sales and profits far more than industry as a whole.”
“The business ‘grapevine’ is a remarkable thing. It is amazing what an accurate picture of the relative points of strength and weakness of each company in an industry can be obtained from a representative cross-section of the opinions of those who in one way or another are concerned with any particular company.”
“ถ้าหากการวิเคราะห์บริษัทได้ทำลงไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว เวลาที่จะขายหุ้นนั้นคือ ไม่มีระยะเวลา”
“If the job has been correctly done when a common stock is purchased, the time to sell it is – almost never.”

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *