ทำ Team ให้ Work (2)
|ทำ Team ให้ Work (2)
องค์กรใดมีคนเป็นข้อได้เปรียบ มีคนเก่ง คนดี ที่สำคัญมีความสมัครสมานสามัคคี มีใจรักใคร่ กลมเกลียว เดินหน้าได้เป็นแผง ทะมัดทะแมง ไม่แย่งไม่แซงกัน ใครพลาด คนข้างๆ พร้อมปราดเข้าไปช่วย ใครป่วย คนอื่นพร้อมประคอง
มีคนเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีจุดหมายใด ดูไม่ไกลเกินเอื้อม
ในทางตรงข้าม หากองค์กรแสนดี แสนรวย แสนสวย มีระบบครบครัน มีชื่อใหญ่ มีใบรับรองสารพัด หาก “คน” ในองค์กรไม่เอาด้วยเสียอย่าง คนท้อ คนนั่งรอรับเงินเดือนไปวันๆ ฉันคือฉัน เธอคือเธอ อย่าเผลอ แล้วกัน คราวที่แล้วฉันพลาด เธอปราดเข้ามาซ้ำ
จำไว้ ! ที่นี่ใครดีใครได้ ไม่โปร่งใส ทำอะไรก็ได้ ให้ “ถูกใจ” ผู้ใหญ่ไว้ก่อน “ถูกต้อง” เป็นรองจ้ะ
คำว่า “ทีม” สะกดอย่างไร ไม่เคยได้ยิน!
หากองค์กรเป็นเช่นนี้ ถือว่าคู่แข่งโชคดี เพราะเขามัวแต่ตีกันเองภายใน ไม่มีพลังเหลือไว้สู้รบปรบมือกับชาวบ้าน
ท่านผู้อ่าน ลองพิจารณาดูองค์กรของตัวเองนะคะว่าพลังของคนในองค์กรนำมาใช้ได้ถูกที่ถูกทางแล้วหรือยัง พลังส่วนใหญ่ใช้ไปในทางสร้างสรรค์ ใช้กับลูกค้า ใช้ให้เกิดความก้าวหน้า ใช้ให้องค์กรพัฒนา หรือใช้ภายใน เพื่อแก่งแย่ง แบ่งพื้นที่ เพื่อสร้างบารมีส่วนตัว ส่วนกลุ่ม ทุ่มสู้… แต่ผิดสนาม เพราะลืมตัวมัวแต่สู้กันเอง
หากไหนๆ จะต้องใช้พลังบางส่วนกับเรื่องภายในองค์กร เรามาใช้พลังแบบสร้างสรรค์ หันมาสร้างทีม เพื่อให้เกิดพลังที่ฝรั่งเรียก Synergy หรือแรงของเราแต่ละคน เมื่อเสริมกัน หนึ่งบวกหนึ่ง ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่สอง ต้องได้สามเป็นอย่างน้อย
ทั้งนี้เป็นเพราะเราคนหนึ่ง ก็ทำได้เพียงแค่สิ่งที่เราเก่งเราเชี่ยวชาญ หากอีกคนทำในสิ่งที่เขาเก่ง แล้วนำมาผสมผสาน ผลงานต้องยิ่งใหญ่กว่าต่างคนต่างทำ
ประเด็นคือ การทำงานร่วมกัน แบบผสมผสานกลมเกลียว 1 + 1 จึงมากกว่า 2
คราวที่แล้ว เราคุยถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ ซึ่งถือเป็นตัวตั้งของการสร้างทีมในองค์กร
1. ทีมมีเป้าหมาย มีฝันร่วมกัน เพื่อหล่อหลอมใจ สลายความเป็นตัวตนของแต่ละคนในทีมหรือไม่
2. คนในทีมตระหนักถึงบทบาทของตนในการทำงานเป็นทีมหรือไม่
3. ทีมมีกฎกติกามารยาทของการทำงานร่วมกันหรือไม่
หากมองเข้าไปในองค์กรแล้วยังไม่แน่ใจ ยังตอบไม่ได้ หรือตอบได้ว่า “ไม่มี”
ขอแสดงความยินดีค่ะ
อย่างน้อยท่านผู้อ่านเริ่มเห็นปัญหา เริ่มเห็นที่คัน จะได้เริ่มเกาถูกที่
วันนี้ เราไปดูประเด็นถัดไปในการทำให้องค์กรมี Team ที่ Work ต่อ นะคะ
หัวใจอีกตัวหนึ่งของการทำงานเป็นทีมคือ การนำสมองของทุกคนมาหลอมรวมกัน เพื่อสร้างและสานฝัน เพื่อหาหนทางที่ดีกว่า เพื่อหาแนวทางที่คนคนเดียวคิดไม่ถึง เพื่อใช้ความต่างสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ผลักให้ทีม ให้องค์กรก้าวรุดไปข้างหน้า
การผสมพลังความคิดของทีม เป็นจุดที่ทำให้ผลงานของทีมโดดเด่นเกินหน้าการทำงานคนเดียว การนำสมองมาหลอมรวมกันแบบ “ทีม” คือการนำประสบการณ์ นำแนวคิดมาแลก มาเปลี่ยน มาเสริม เติมรอยแยก แหวกหาหนทางใหม่ ใช้มุมแปลกๆ ที่แรกๆ อาจดูไม่เข้าที่เข้าทาง แต่หากพลิกดูดีๆ มีที่ใช้
วิธีการผสานพลังความคิดของทีม มี 2 ขั้นตอนหลัก คือ
ขั้นตอนแรก
คนในทีมต้องตระหนักและมั่นใจในตนเองว่าฉันก็มีความคิดสร้างสรรค์ ฉันก็คิดได้ คิดเป็น ไม่เห็นยาก
หลายคนอาจคิดว่า ความคิดสร้างสรรค์ เป็นเรื่องฝันๆ ของบางคน ต้องเป็นศิลปิน ต้องโดดเด่น ต้องแปลกๆ ต้องคิดแบบแหกโค้ง ไม่จำเป็นค่ะ
จากการวิจัยครั้งแล้วครั้งเล่าของเรื่องความคิดสร้างสรรค์ในที่ทำงาน พบว่าสิ่งที่จะชี้ว่าคนของเรามีความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ อยู่ที่ปัจจัยพื้นฐานแบบกำปั้นทุบดิน คือ
“คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือคนที่คิดว่าตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์”
ทุบดินดังกว่านี้ไม่มีแล้วค่ะ
ขั้นตอนที่สอง
ขั้นตอนนี้โยงใยกับขั้นตอนแรก โดยหัวหน้าทีมมีบทบาทสำคัญทั้งสองขั้นตอน
หัวหน้าทีมมีหน้าที่ให้ขวัญกำลังใจ ให้ความฮึกเหิม เสริมให้คนมีความมั่นใจในตัวเองว่าฉันก็คิดสร้างสรรค์ได้ จะมากจะน้อย ก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นเท่าไร จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น จะทำให้เกิดบรรยากาศเช่นนี้ได้
ต้องสร้างค่ะ
สร้างอย่างไร…อย่างน้อยมี 3 เรื่องที่ทีมต้องสร้าง
1. สร้างทักษะในเรื่องความคิดสร้างสรรค์
ดิฉันเห็นด้วยกับผู้รู้หลายท่านว่า ความคิดสร้างสรรค์ เกิดจากพรสวรรค์บวกกับพรแสวง
เจ้าตัวแสวงนี่แหละค่ะ สร้างและเสริมให้กันได้ ดีไม่ดีแสวงมากๆ มีสิทธิแซงพวก “สวรรค์” ที่ไม่หมั่นแสวงเพิ่ม
วิธีการแสวงง่ายๆ เช่น มีทักษะในการช่วยคิด ช่วยถาม ช่วยท้าทาย เช่น คิดนอกกรอบ
“หากร้านก๋วยเตี๋ยวของเราไม่มีเก้าอี้ให้คนนั่ง ทำอย่างไรดี” หากตอบแบบไม่สร้างสรรค์ หนทางอาจมีน้อย ไม่มีที่นั่ง “เจ๊ง” แน่
หากช่วยกันคิดโดยไม่จำกัดกรอบ คำตอบอาจแปลกๆ อาจแหวกๆ เช่น คนหนึ่งว่า “นั่งกับพื้นไง” อีกคนเสริม “ก็ให้ยืนกิน” คนที่สามตามมาเป็นชุด “ขายเป็นชิ้นๆ แล้วไปผสมเป็นจานที่บ้าน” คนอื่นต่อว่า “งั้นไม่ต้องมาที่ร้าน นั่งกินที่บ้านแหล่ะ เดี๋ยวไปส่งให้”…นี้คือแหล่งกำเนิดของ Delivery การทำธุรกิจอาหารแบบส่งถึงที่ ซึ่งเราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
2. หัวหน้าทีมต้องเป็นหลักในการสร้างให้เกิดบรรยากาศในการฟัง และเคารพในความคิดของลูกทีม
หากหัวหน้าทีมสร้างบรรยากาศให้ลูกทีมเกิดความมั่นใจว่าฉันก็คิดได้ ฉันก็คิดเป็น
จากนั้น เปิดเวทีให้เริ่มแสดงความคิดเห็น เช่น หากไม่มีเก้าอี้ ทำไงดี “นั่งกับพื้นไงพี่” ลูกน้องเริ่มออกไอเดียอย่างมั่นใจ
อย่างไรก็ดี ถ้าหัวหน้าทีมบอกทันทีว่า “คิดได้ไง ใครจะนั่งกับพื้น!” พลังความคิดของทีมจะตายแบบไม่ฟื้น ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่นแน่นอน มุมมองและแนวทางไม่มีไปไกลได้ถึง “Delivery” ที่พูดถึง
ดังนั้น หัวหน้าจึงต้องฝึกทักษะการฟัง ต้องอึด อดทน ต้องให้เวลาลูกทีม และที่สำคัญ ต้องเปิดใจ
3. สร้างวัฒนธรรมทีมในการรวมพลังความคิด
การที่หัวหน้าทำตนเป็นต้นแบบข้างต้น ถือว่าเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนั้น หัวหน้าต้องร่วมสร้างกฎกติกาของทีมตั้งแต่เริ่มต้นว่า นอกจากแต่ละคนมีบทบาทในการช่วยกันคิด ทุกคนต้องฟังกันอีกด้วย
เมื่อมีการเสนอความคิดแล้ว ใครบอกว่า “วิธีนี้ใช้แล้วไม่ได้เรื่อง” “ไอเดียนี้ไม่น่าใช่” “แนวทางนี้ไม่ได้หรอกเพราะ…” คนนั้นต้องถูกสยบ ต้องขอให้สงบไว้ก่อน เมื่อได้ความคิดหลากหลายพอ แล้วค่อยมากลั่นมากรอง มองหาสิ่งที่ดีที่สุดอีกครั้ง
ทีมที่เสริมพลังความคิดกันได้เช่นนี้ มีไม่มาก…
ที่ทำได้ไม่มาก…ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะเหมือนยาก
อย่างไรก็ดี จากที่ดิฉันได้มีโอกาสเห็นและสัมผัสทีมที่ทำได้ แรกๆ อาจเหมือนยาก เหมือนหนืด เหมือนทุกสิ่งที่ยังไม่เคยทำ แต่เมื่อเริ่มทำได้ไปสักพัก ทั้งทีมกลายเป็นนักคิดได้ไม่ยาก
ที่ยากจริง…คือ การที่หัวหน้าทีมต้องเอาจริง ต้องตั้งใจ ต้องนิ่ง และ ต่อเนื่อง…เรื่อง “ทีม” จึงจะเกิดค่ะ
ที่มา : พอใจ พุกกะคุปต์