ข้อคิดจากคนเมา..คนบ้า..และหมาขี้เรื้อน!

ข้อคิดจากคนเมา..คนบ้า..และหมาขี้เรื้อน!

ผมมีนิทาน 3 เรื่อง ที่อยากเล่าให้ฟัง แล้วค่อยมาสรุปกันในตอนท้าย ว่าเราได้อะไรจากนิทานทั้งสามเรื่องนั้นบ้าง

เรื่องแรก เป็นเรื่องของคนเมา : เรื่องมีอยู่ว่า กลางดึกคืนหนึ่ง ขี้เมารายหนึ่งกำลังคลานหาอะไรง่วนอยู่ใต้เสาไฟฟ้าสาธารณะ ขณะนั้น ตำรวจนายหนึ่ง เดินตรวจตราผ่านมา เขายืนสังเกตการณ์คนขี้เมานั้นอยู่พักใหญ่ๆ เมื่ออดรนทนไม่ไหว จึงเดินเข้าไปใกล้ชายขี้เมานั้น และถามขึ้นว่า“นายกำลังหาอะไรอยู่ละนั่น เห็นคลานหาอยู่ตั้งเป็นนานสองนานแล้ว” ชายขี้เมาเงยหน้ามองตำรวจ และตอบไปว่า “อ๋อออ..จ่าน่ะเอง พ้มกำลังหาเหรียญสิบบาทอยู่น่ะ ทำหล่นไปตั้งสองเหรียญ เสียด๊าย เสียดาย เอาไปซื้อเหล้ากินได้อีกตั้งสองกรึ๊บ” ตำรวจจึงถามไปอีกว่า “แล้วนายแน่ใจนะว่าทำหล่นหายอยู่ใต้เสาไฟนี่?” ขี้เมาตอบกลับไปอีกว่า “เปล๊า! ผมไม่ได้ทำหายตรงนี้หรอก ผมทำมันหล่นอยู่ตรงโน้นแน่ะ ตรงข้างๆ สะพานโน่น!” ตำรวจส่ายหัว และถามไปอีกว่า “อ้าว ก็ทำหล่นที่ข้างสะพาน แล้วทำไมนายดันมาคลานหาอยู่ใต้เสาไฟนี่ล่ะวุ้ย” ขี้เมาเงยหน้ามองตำรวจอย่างรำคาญใจ ก่อนจะตอบไปอย่างไม่ใยดีว่า “ก็ตรงข้างสะพานนั่นน่ะมันมืดจะตายไป มองอะไรก็ไม่เห็น มาหาใต้เสาไฟนี่ดีกว่า สว่างดี!?!”

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของคนบ้า : เรื่องมีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งกำลังจะเข้าไปติดต่อธุระในโรงพยาบาลบ้าแห่งหนึ่ง ขณะยืนรอลิฟต์อยู่ เขาก็สังเกตเห็นชายผู้หนึ่งในชุดคนไข้ กำลังยืนเอาหูแนบข้างฝา เหมือนกำลังแอบฟังอะไรอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ชายผู้นั้น จึงยืนดูอยู่ด้วยความสนใจ เป็นเวลานานพอสมควร เขาก็ยังเห็นคนไข้นั้น เอาหูแนบข้างฝา แอบฟังอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมไปไหน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเดินเข้าไปสะกิดถามคนไข้ผู้นั้นว่า “คุณกำลังแอบฟังอะไรอยู่หรือ? เห็นแอบฟังอยู่ตั้งเป็นนานสองนานแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นที่ข้างในนั่นหรือ?” ชายคนไข้ หันมามองหน้าชายผู้นั้น พร้อมกับป้องปากพูดกระซิบเบาๆ ว่า “คุณก็ลองฟังดูเอาเองสิ เดี๋ยวก็จะรู้” ชายผู้นั้นจึงเอาหูแนบข้างฝา และตั้งใจแอบฟัง ตามคำแนะนำ สักพักใหญ่ๆ เขาก็พูดกับคนไข้ว่า “ก็ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลยนี่ เงียบสนิทเลย!” คนไข้พยักหน้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเบื่อหน่ายเป็นกำลังว่า “ฮื่อม์..แม่งเป็นยังเงียะ ทั้งวันเลย!!”

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องของหมาขี้เรื้อน : หมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง มันประสบกับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งกับการหาที่เหมาะๆ เพื่อจะพักผ่อนหลับนอน เพราะไม่ว่ามันจะไปล้มตัวลงนอน ณ ที่ใด มันก็รู้สึกว่า ณ ที่นั้น เต็มไปด้วยหมัดและเห็บ รวมทั้งแมลงสารพัดชนิด ที่คอยรบกวนการหลับนอนของมันอยู่ตลอดเวลา มันไปนอนที่ใต้เสาไฟ ซึ่งตาขี้เมาในนิทานเรื่องที่หนึ่ง คลานหาเหรียญ มันก็คัน มันไปนอนที่ข้างสะพานที่ตาขี้เมาทำเหรียญหล่นหาย มันก็คัน มันหนีไปนอนข้างกำแพง มันก็ยังคันยิกๆ อยู่นั่นเอง มันได้แต่สาปแช่งว่าทำไมแต่ละที่ ที่มันจะไปนอน ถึงต้องมีเห็บ หมัด และแมลงสารพัด ตามมารังควานมันอยู่ตลอด นี่เป็นสาเหตุให้มันไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย แม้เพียงสักงีบหนึ่ง มันอาจหาอาหารกินได้ครบห้าหมู่ มันอาจได้เดินและวิ่งออกกำลังกายอยู่บ้าง ตอนวิ่งหนีคนและหมาด้วยกัน แต่มันไม่สามารถทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสได้ ตามหลักสุขอนามัย ด้วยเหตุที่มันนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจึงไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง ขนาดว่าแม้ยามจะเห่า มันยังต้องยืนพิงกำแพงเห่า! ไอ้ครั้นจะไม่เห่า ก็ใช่ที่ เพราะเกิดเป็นหมาแล้วไม่เห่า ทั้งคนและหมาเขาก็จะนินทาเอาได้ว่าเกิดมาเสียชาติหมาหมด!

นิทานทั้งสามเรื่องนี้ ให้ข้อคิดอะไรกับเราได้บ้าง ผมก็ขอสรุปดังนี้ :-

หลายคน และหลายครั้ง ก็อาจไม่รู้ตัวว่า เขากำลังทำอย่างที่คนเมากำลังทำอยู่ คือค้นหาไปอย่างที่ไม่มีวันจะค้นพบอะไรได้ (นี่เป็นกรณีที่รู้อยู่แล้วว่าต้องการจะค้นหาอะไร ยังไม่ได้นับกรณีที่บางคน เอาแต่ “แสวงหา” โดยที่ก็ไม่รู้ว่าจะค้นหาอะไร ซึ่งในกรณีหลังนี้ อาจต้องนำไปอธิบายกับเรื่องของคนบ้า ในนิทานเรื่องที่สอง) เพราะเขาไม่ได้ค้นหาในที่ที่ควรจะค้นหา เขาไปติดยึดกับความสะดวกสบาย ความถูกอกถูกใจ อุปมาเหมือนแสงไฟที่เขาอ้างว่าสว่างดี หลายคนหลงไปเพลิดเพลินกับเครื่องมือภายนอก เช่น หนังสือ หลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรมสัมมนาต่างๆ วิทยากร กิจกรรมสารพัด ฯลฯ ซึ่งเขารู้สึกว่าตื่นเต้นเร้าใจ เพลิดเพลิน สนุกสนาน อิ่มเอมใจ โดยที่เขาอาจไม่เคยได้พินิจพิจารณาดูเลยว่า ถึงที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านั้น มันเป็นหนทางที่นำไปสู่การค้นพบหรือไม่
บางคนอ่านหนังสือมาก อ่านเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เขาไม่ได้อ่านเพื่อ “เอาเรื่อง” แต่เขาอ่านเพื่อ “เอามันส์” เรื่องไหนมันส์ถูกใจเขา เขาก็จะคลั่งไคล้ เล่มไหนไม่มันส์สะใจเขา เขาก็จะสาปแช่ง สาปแช่งว่าเยิ่นเย้อ พิรี้พิไร เขียนวกไปเวียนมาอยู่นั่นแหละ เขียนมาได้ไงตั้งสี่ห้าเล่ม พูดวนเวียนซ้ำๆ ซากๆ อยู่แต่เรื่องเดิมๆ ร้อยทำนอง เนื้อเดียวกันอยู่นั่นแหละ บางคนสาปแช่งผู้เขียนไปเลยถึงขั้นสบถออกมาว่า “ไม่น่าเสียเวลาอ่านงานเขียนของมันให้เสียสมองเลย พับผ่าซี!” เขาเฝ้ามองหาหนังสือเอกอัครอภิมหาอลังการ ศักดิ์สิทธิ์พิศดารมโหฬารมหันต์ลึก ที่ยังไม่มีใครเขียน ที่ยังไม่ได้พิมพ์ หรือที่ยังพิมพ์ไม่เสร็จ แม้แต่พระเจ้าจะลงมือเขียนเอง ก็ยังไม่แน่ว่าจะเขียนได้ถูกใจเขาหรือไม่ หรือถึงแม้ว่าอาจจะถูกใจ แต่พระเจ้าก็อาจเขียนได้ไม่ทันการให้เขาได้อ่านกัน! (คนพวกนี้นี่แหละ ที่ตอนเรียนหนังสือ พอถึงเวลาสอบ แล้วตอบข้อสอบไม่ได้ ก็มักออกมาด่าอาจารย์ผู้ออกข้อสอบว่า “แม่ง ออกข้อสอบยังไงวะ ออกไม่ตรงกับที่กูจะตอบเลย!!”)
บางคนเข้าหลักสูตรสัมมนามาสารพัด หลักสูตรสัมมนาที่ให้ผู้เข้าอบรมลุยถ่านลุยไฟ ก็ไปเข้ามาหมดแล้ว หลักสูตรว่าด้วยการสะกดจิต สะกิดใจ ถึงขั้นระลึกชาติได้ ก็ไปเข้ามาแล้ว เรียกว่าอะไรที่เขาร่ำลือกันว่าเป็นหลักสูตรฝึกอบรมที่ประหลาดล้ำพิสดาร ก็ไปเข้ามาแล้วจนหมดสิ้นสกุลไทย! แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้ค้นพบอะไร เพราะเอาแต่ความมันส์ เอาความตื่นเต้น เอาความเร้าใจ ฯลฯ เป็นตัวตั้ง
ผมไม่ได้ต่อต้าน หรืออคติกับการอ่านมาก หรือการเข้าฝึกอบรมสัมมนามาก หรือแม้แต่การศึกษาเล่าเรียนจนได้ปริญญาพ่วงท้ายมามากมาย แต่ประการใดทั้งสิ้น เพียงแต่อยากตั้งข้อสังเกต ให้ไปลองพิจารณาดูว่า ที่เรากำลังเพียรพยายามทำๆ กันอยู่นั่นน่ะ สุดท้ายแล้ว มันก็เหมือนกับตาขี้เมานั่นหรือเปล่า? ขี้เมาที่กำลังคลานหาเหรียญอยู่ใต้เสาไฟ แทนที่จะไปค้นหาที่ข้างสะพาน ซึ่งเป็นที่ที่เขาทำเหรียญหล่นหายไป ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าที่ใต้เสาไฟนี่มันสว่างดี สว่างกว่าที่ข้างสะพานตั้งแยะ!?!

สำหรับนิทานในเรื่องที่สอง ก็อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า บางคน บางครั้ง ก็เฝ้าดู เฝ้ามองหา เฝ้าแสวงหา ในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร เราเป็นอย่างนี้กันบ้างหรือเปล่าครับ ที่เสียเวลา และพลังงาน ไปมากมายเหลือเกิน ไปกับกิจกรรมที่ไม่ได้ทำให้เราเจริญเติบโตได้เลย เราสนอกสนใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ตลอดเวลาอยู่หรือเปล่า นี่ผมไม่ได้หมายถึงให้ทุกคนต้องมาทำชีวิตให้มีแต่สาระกันอยู่ทุกลมหายใจดอกนะครับ เพราะถ้าเป็นดังนั้น เราก็ยิ่งจะบ้ามากกว่าคนไข้ในนิทานเรื่องที่สองนี้เสียอีก ผมเพียงแต่อยากเตือนพวกเราให้รู้จักมีสติรู้ตัว ให้รู้จักจำแนกแยกแยะว่าเรื่องใดต้องรู้ เรื่องใดควรรู้ เรื่องใดน่ารู้ เรื่องใดรู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ และเรื่องใด ถ้าไม่ไปรู้มันเลย จะเป็นมงคลกับชีวิตของเราเป็นที่สุด
ผมว่าเราทุกคนสามารถที่จะหยั่งรู้ได้ลึกๆ ว่าอะไรที่จะทำให้เราเจริญเติบโตขึ้น อะไรมีประโยชน์กับเรามากที่สุด และอะไรไม่มีประโยชน์ แต่ว่าแน่ละ สิ่งที่แต่ละคนกำลังค้นหานั้น ก็อาจจะแตกต่างกัน ไม่มีใครตัดสินใครได้ ไม่มีใครถูกใครผิด บางอย่างเป็นประโยชน์กับคนหนึ่ง แต่ก็อาจไม่เป็นประโยชน์กับอีกคนหนึ่งก็ได้ มันเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้อง “เลือก” และ “ตัดสินใจ” กันเอาเอง ของใครของมัน ตัวของเขาผู้นั้นเองเท่านั้น ที่จะสามารหยั่งรู่ได้ว่าเขากำลังค้นหาอะไรอยู่ แต่ขอเพียงอย่างเดียว ขอเพียงให้เรามีสติรู้ตัว ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง เท่านั้นก็พอ

และสำหรับนิทานในเรื่องสุดท้าย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ามัวไปโทษปัจจัยภายนอกโน่นนี่อยู่เลย ปัญหาที่แท้จริงมันก็อยู่ที่ตัวเราเองนี่แหละ อุปมาเหมือนกับหมาขี้เรื้อนนั่นเอง ไม่ว่ามันจะหนีไปนอนที่ตรงไหน มันก็จะต้องคันคะเยออยู่อย่างนั้นอยู่ดี เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่สถานที่ที่มันจะนอน แต่อยู่ที่ตัวมันเองนั่นแหละ เพราะมันเป็นขี้เรื้อน เห็บ หมัด ต่างๆ ก็ยู่ติดตัวมันอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ แมลงสารพัดชนิดก็บินตามมันไปทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ จนกว่ามันจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้หายจากการเป็นขี้เรื้อนเสียก่อนแล้วนั่นแหละ มันจึงจะสามารถนอนที่ไหนก็ได้ โดยไม่มีอาการคันใดๆ มาแผ้วพานเลย
เราเอง ถ้ายังฝากชีวิตไว้กับปัจจัยภายนอก ถ้ายังเอาชีวิตไป “ผูกติด” หรือ “ขึ้นต่อ” สิ่งอื่นนอกตัวเรา เราก็จะโทษผู้อื่น โทษสิ่งอื่น โทษฟ้าดิน โทษพระเจ้า โทษสวรรค์ว่าไม่มีมีตา ถึงแม้มีตาก็หามีแววไม่ ฯลฯ เราจะโทษทุกอย่างหมด ยกเว้นตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้ว ตัวเราเองนี่แหละคือปัญหาใหญ่สุด และเป็นเพียงปัญหาเดียวเลยด้วยซ้ำ

ถ้าคนเมา คนบ้า และหมาขี้เรื้อน มีพฤติกรรมอย่างในนิทานที่เล่ามา ก็ยังไม่สู้กระไร สมควรได้รับการให้อภัย ไม่ควรไปถือสา เพราะโบราณท่านก็สอนไว้นานมาแล้วว่า “อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” และผมก็ขอต่อให้มันครบถ้วนว่า “อย่าเอาอะไรกับหมาขี้เรื้อน” แต่ถ้าใครที่ไม่ได้เป็นคนบ้า ไม่ได้เป็นคนเมา และไม่ได้เป็นหมาขี้เรื้อน แต่กลับไปมีพฤติกรรมเยี่ยงนั้น แล้วเราจะว่าอย่างไรกันละนี่! แบบนี้นี่ไม่อายคนบ้า ไม่อายคนเมา หรือว่าไม่อายหมามัน บ้างดอกหรือ?!?

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *