“GeTeCe” ผู้นำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ เน้นบริการ-สินค้าคุณภาพมาตรฐานยุโรป
“GeTeCe” ผู้นำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ เน้นบริการ-สินค้าคุณภาพมาตรฐานยุโรป
Source: LogisticsDigest
จีทีซี” ผู้นำด้านเทคโนโลยี-อุปกรณ์โลจิสติกส์คุณภาพยุโรป-ราคาถูกกว่าคู่แข่งในตลาด ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง ระบุเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน-ลดต้นทุน เผยแผนปี 2552-2553 รุกขยายสายบริการ-สำนักงานต่างจังหวัด
เทคโนโลยีมีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ที่ต้องการอุปกรณ์-เทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการ เพราะเวทีการแข่งขันทางการค้านั้น ผู้ประกอบการไทยไม่ได้แข่งขันกันภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องแข่งกับคู่ค้าในต่างประเทศด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่ง และเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของการดำเนินธุรกิจยุคการค้าไร้พรมแดนเช่นนี้…
บริษัท จีทีซี จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยี-อุปกรณ์โลจิสติกส์ ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการ และจากมาตรฐานสินค้าคุณภาพยุโรป ทำให้ จีทีซี ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ของไทย และมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยความมุ่งมั่นใส่ใจต่อลูกค้า ดังนั้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญต่อคุณภาพการบริการหลังการขาย เพื่อมุ่งหวังตอบสนอง-แก้ไขทุกปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า ทำให้ได้รับความไว้วางใจมียอดคำสั่งซื้อและมีการซื้อซ้ำกว่า 40%
บริษัท จีทีซี จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 1973 โดยเริ่มต้นจากธุรกิจผู้แทนจำหน่ายเคมีภัณฑ์จากประเทศเยอรมัน และดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์-เทคโนโลยีโลจิสติกส์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว โดยเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ GTMover ซึ่งผู้ผลิตคือ Gutertrans ประเทศเยอรมัน และเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้ลงทุนร่วมกับ Gutertrans สร้างโรงประกอบรถยกเบา Hand Pallet Truck ที่ประเทศไทย นับเป็นการยกระดับของการทำธุรกิจร่วมกับบริษัทแม่ในต่างประเทศ คุณบุญรุ่ง เหมือนทองแท้ กรรมการ บริษัท จีทีซี จำกัด แสดงทรรศนะในการบริหารงาน
จีทีซี สินค้าคุณภาพ-บริการเยี่ยม
บริษัท จีทีซี จำกัด สามารถรับประกันได้ว่าสินค้ามีคุณภาพเทียบมาตรฐานยุโรป ทั้งยังมีราคาถูกกว่าคู่แข่งในตลาด เนื่องจากสินค้าสั่งตรงจากผู้ผลิตมายังประเทศไทย ไม่ได้ผ่านการกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นก่อน ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องการกระจายสินค้า ส่งผลให้ต้นทุนถูกลงกว่า 15% ที่ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ และสอดรับกับเศรษฐกิจที่ถดถอยที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้า โดยพิจารณาจากคุณภาพ ราคา และการบริการหลังการขาย ที่ทั้งหมดเป็นนโยบายหลักและเป็นจุดแข็งของจีทีซี
“จุดแข็งของ จีทีซี คือเรื่องบริการหลังการขาย เนื่องจากบริษัทฯ ทราบถึงปัญหาของลูกค้าจากการใช้สินค้าประเภทนี้ ดังนั้น บริษัทฯ จึงนำปัญหานั้นมาปรับใช้กับการดำเนินธุรกิจ เพราะ จีทีซี ให้ความสำคัญเรื่องการบริการหลังการขาย ทำให้ได้รับการยอมรับจากลูกค้า เนื่องจากต้องยอมรับว่าคุณภาพมาตรฐานของสินค้าที่มาจากยุโรปนั้นไม่แตกต่างกัน ดังนั้น แต่ละบริษัทจึงแข่งกันเรื่องการบริการหลังการขาย และจากคุณภาพบริการทำให้ปัจจุบัน จีทีซี มียอดสั่งซื้อและซื้อซ้ำจากลูกค้าสูงกว่า 40%” คุณบุญรุ่ง กล่าว
สำหรับลูกค้านั้น ในส่วนของบริษัทฯ แบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.โรงงานทั่วไป 2. กลุ่มโมเดิร์นเทรด และ 3. กลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ทั้งนี้ หากกล่าวถึงสัดส่วนยอดขายของบริษัทฯ นั้น กลุ่มโรงงานทั่วไปมีสัดส่วนการขาย 80% โมเดิร์นเทรดมีสัดส่วน 12% และกลุ่มโลจิสติกส์ประมาณ 7-8% ซึ่งการที่กลุ่มโลจิสติกส์มีสัดส่วนยอดขายน้อย เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มต้องการสินค้าที่มีขนาดใหญ่ แต่จีทีซีเน้นผลิตสินค้าประเภทรถยกเบา
อัตราการเติบโตของธุรกิจในช่วง 2 ปีแรก มีอัตราการเติบโตกว่า 200% และปี 2551-2552 เติบโตถึง 27% สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นเรื่องการรักษาฐานลูกค้าเก่าและพยายามเปิดตลาดลูกค้าใหม่ แต่ต้องยอมรับว่าในปีนี้ธุรกิจมีการแข่งขันกันสูงมากทั้งในเรื่องคุณภาพ-ราคา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาด 12% ที่นับว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
สินค้าที่เป็นพระเอกของบริษัทฯ คุณบุญรุ่ง บอกว่า สินค้าที่เพิ่งนำเข้ามาเมื่อปี 2551 คือ Stacker และ Counter Balance Stacker ซึ่งเป็นสินค้าคุณภาพ ที่แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้กับพาเลทเกือบทุกประเภท และมีโอกาสในการทำตลาดค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน หากพูดถึงสินค้าประเภทรถยกเบาแล้ว มั่นใจว่าสินค้าของ จีทีซี มีคุณภาพที่สุดในตลาด และสำหรับแผนการตลาดในปี 2552 นี้ คุณบุญรุ่ง บอกว่า ส่วนใหญ่จะเน้นออกงานแสดงสินค้าต่างๆ เพื่อหาลูกค้ากลุ่มใหม่ และเน้นโรดโชว์ตามนิคมอุตหสากรรม เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของจีทีซีมากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายสายบริการนอกศูนย์บริการ โดยปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 2 สายบริการ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 3 สาย ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งยังมีแผนเปิดตลาดในต่างจังหวัด โดยช่วงแรกจะเข้าไปทำธุรกิจร่วมกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในกลุ่มเดียวกัน หรือหากจังหวัดใดไม่มีผู้ประกอบการประเภทนี้ จีทีซี จะไปตั้งสำนักงานขายที่จังหวัดนั้น อย่างเช่น โคราช ขอนแก่น และหาดใหญ่
เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ-ลดต้นทุน
ต้องข้อถามเรื่องการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจนั้น คุณบุญรุ่ง บอกว่า ข้อดีของการนำอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้นั้น แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับคือคุณภาพการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องการบริหารเวลา-การบริหารพื้นที่ รวมทั้งทำให้การทำงานมีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
“จากการนำอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินงาน ทำให้ใช้เวลาในการทำงานสั้นลง สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า อย่างเช่น หากใช้รถยกทั่วไปอาจจะยกได้เพียง 1-2 เมตร แต่ถ้าใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย จะทำให้สามารถยกได้ถึง 10-15 เมตร ทำให้ใช้พื้นที่ด้านบนได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้พื้นที่ในการวิ่ง-ช่องระยะการวิ่งลดลงไป ส่งผลให้สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บได้อีก โดยสรุปคือทำให้เวลาการทำงานสั้นลง-ใช้พื้นที่ได้มากขึ้น สุดท้ายคือทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานลดลง นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย ทั้งในส่วนของผู้ใช้งาน รวมถึงความปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมด้วย” คุณบุญรุ่ง กล่าวย้ำ
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพทันสมัย จะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตและก้าวทันคู่แข่ง ทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพ-สามารถลดต้นทุนในการดำเนินงาน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ จีทีซี คือคำตอบของการขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพมากขึ้น…