ใครจะมาเป็นสกุลเงินใหม่ในโลกอนาคต

ในปี 2564 หรือ 2021 นี้ข่าวเกี่ยวกับสกุลเงินใหม่แห่งโลกอนาคตที่เรียกกันว่า “สกุลเงินดิจิตอล” กำลังเป็นกระแสมาแรงแซงเงินกระดาษ เงินเหรียญ แบบเดิม (เงินเฟียต) สกุลเงินดิจิตอลพูดให้เห็นภาพง่ายๆคือ “เงินที่เป็นแค่เพียงตัวเลข” จับต้องสัมผัสไม่ได้นั่นเอง กับเงินเฟียตคือ “เงินที่เป็นกระดาษ หรือเหรียญ” ที่เราๆใช้กันอยู่ทุกวันนี้

ทำไมสกุลเงินดิจิตอลถึงมาเป็นกระแสในช่วงนี้หละ

จริงๆสกุลเงินดิจิตอลตัวแรกของโลกเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 ที่หลายคนคงเคยได้ยินชื่อว่า “Bitcoin – บิตคอยน์” แต่เมื่อ 12 ปีก่อนถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก เทคโนโลยี Blockchain, เงินดิจิตอล คนส่วนใหญ่จึงเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่เงินแบบนี้จะมาแทนที่เงินเฟียตที่เราใช้งานอยู่ได้

ย้อนหลังสักเล็กน้อย – สกุลเงินดิจิตัลแบบดั่งเดิม หรือ คริปโตเคอเรนซี่ (Crypto Currency) ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย “Satoshi Nakamoto” (ซาโตชิ นากาโมโตะ) ชื่อเหมือนคนญี่ปุ่น แต่ในความจริงแล้วไม่มีใครทราบว่าเขาคือใคร ตามแนวคิดสกุลเงินนี้สร้างเพื่อให้ทุกๆคนเป็นเจ้าของเงินของตัวเอง ไม่ต้องมีองค์กร หรือหน่วยงานมาเป็นคนกลางในการกำหนดกฎเกณท์ต่างๆ คนทุกคนสารารถส่งเงินหากันเองได้โดยตรง ผ่านเครือข่ายบน Blockchain ได้เลย ไม่เกี่ยงว่าจะอยู่ประเทศไหน ขอแค่อยู่บนโลกใบเดียวกันก็พอ (ที่ระบบเครือข่ายเข้าถึงได้)

คราวนี้เหตุการณ์สำคัญที่เป็นปัจจัยร่วมทำให้กระแสเงินดิจิตอลเกิดขึ้นได้และมีความเข้มแข็งมากขึ้น นั่นคือ สถานการณ์โควิด-19 จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนต้องเว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัส รวมถึงเศรษฐกิจย่อยยับลง ทำให้บางประเทศต้องพิมพ์เงินขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาล และผลที่ตามมาก็เป็นเรื่องของเงินเฟ้อ กลายเป็นว่าสถาบันการเงินที่ถือครองเงินมากๆ หรือบุคคลที่มีเงินมาก เงินเหล่านั่นอาจด้อยค่าลงได้ เพราะฉะนั้นการมองหาสินทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่จะรักษามูลค่าแทนเงินที่กำลังด้อยค่าลง ก็หนีไม่พ้น “ทองคำ” หรือ “ของหายาก” หรือ “ทรัพย์สินที่มีจำกัด”

และก็ประจวบเหมาะว่าในปี 2020 เงินดิจิตอลนามว่า “Bitcoin” เกิดปรากฎการณ์ Halving ครั้งที่ 3 (เกิดทุก 4 ปี เป็นการกำหนดความยากในการขุด Bitcoin ให้ขุดได้น้อยลงครึ่งนึงทุกๆ 10 นาที ซึ่งครั้งนี้ทำให้เหลือเพียง 6.25BTC/10 mins) และการขุดที่ยากขึ้นก็จะทำให้อุปทานลดลง นั่นคือของสิ่งนั่นมูลค่าก็จะสูงขึ้นตามอุปสงค์นั่นเอง

เมื่อเหตุการณ์ต่างๆรวมๆกัน Bitcoin จึงกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งในการย้ายเงินมาเปลี่ยนเป็นทรัยพ์สินหายากที่มีจำกัดเพื่อเก็บรักษามูลค่าของเงินนั่นเอง (มีจำกัดเพียง 21 ล้าน BTC เท่านั้น ตอนนี้ออกมาแล้ว ₿18,660,000 (as of 20 March 2021)). เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SQUARE เข้าทำการซื้อ Bitcoin 4,709BTC ด้วยเงิน $50 ล้านดอลลาร์ ในปี 2020 และซื้อเพิ่มอีก 3,318BTC ด้วยเงิน $170 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์​2021 ซึ่งรวมแล้ว 8,207BTC คิดเป็นเงิน $405.43 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง $185.43 ล้านดอลลาร์ เลยทีเดียว (มูลค่าตลาด 3Sep2021 = $50,507.8 )

กระแสยังไม่แรงพอจนกระทั่ง เมื่อบริษัท Tesla Inc, ได้ทำการเข้าซื้อ Bitcoin จำนวน 43,000BTC ด้วยเงิน $1.5 พันล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นกระแสใหญ่ให้สถาบันการเงินต่างๆเข้าซื้อ จนกระทั่งราคา Bitcoin ทำราคาสูงสุดตลอดการณ์ที่ $65,000 ( 2,129,998.97 บาท 14 เมษายน 2564) นั่นเอง

แต่ถึงกระนั่นคำว่าสกุลเงินดิจิตอล ไม่ได้จบด้วยคำว่า “Bitcoin” (ซึ่งเป็นเงินแบบกระจายอำนาจ -Decentralize) ในเมื่อแต่ละประเทศยังมีผู้นำประเทศ มีผู้บริหารประเทศ การควบคุมเรื่องเงินก็ส่วนหนึ่ง เทคโนโลยีก็ส่วนหนึ่ง เราสามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ จึงเกิดคำว่า “CBDC – Central Bank Digital Currency” ซึ่งก็คือสกุลเงินดิจิตอล แต่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลนั่นเอง (พูดให้เข้าใจง่ายอีกแบบคือ การเปลี่ยนรูปแบบเงินกระดาษให้เป็นเงินตัวเลข แต่ยังกำกับโดยรัฐบาลเหมือนเดิม)

CBDC นำร่องโดยประเทศจีน ได้สร้างสกุลเงินดิจิตอลที่กำกับโดยรัฐบาลขึ้นเป็นประเทศแรก เรารู้จักกันในชื่อว่า “หยวนดิจิตอล” เริ่มทดลองใช้ใน 4 เมือง เซินเจิน ซูโจว เฉิงตู และเซียงอัน ตั้งแต่พ.ค. 2020 และเดือนเมษายน 2021 เริ่มทดลองเชื่อมต่อไปที่ฮ่องกงต่อไป

ไม่ใช่แค่ประเทศจีนที่เริ่มทำสกุลเงินดิจิตอลเอง ไทยก็มีโครงการนำร่อง “ไทยบาทดิจิตอล” ต้นปี 2565 ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้มีร่วม 14 ประเทศที่กำลังทดสอบระบบ เช่น ไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี UAE ซาอุดิอาราเบีย เป็นต้น

มาถึงจุดนี้ คงพอเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของเงินจากเดิม “เงินเฟียต” -> “เงินดิจิตอล” เพียงแต่ในอนาคตจะเป็นเงินดิจิตอลแบบกระจายอำนาจ หรือแบบรวมศูนย์ หรือไฮบริดใช้ร่วมกันได้ ก็คงได้เห็นทิศทางในเร็วๆนี้ครับ

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *