เอคิว AQ.( Aversity Quotient ) คืออะไร

เอคิว AQ.( Aversity Quotient )
เอคิว มาจากคำเต็มว่า Aversity Quotient หมายถึงความสามารถที่จะเผชิญกับความยาก ลำบาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก้าวสู่ความสำเร็จ
มีคำกล่าวว่าอย่าเพิ่งวัดความสูงของภูเขาจนกว่าคุณจะได้ไปถึงยอ ดเขาและเมื่อนั้นคุณถึงจะรู้ว่าคุณ ยังอยู่ในระดับต่ำอยู่อีกมากเพียงใด A.Q. หรือ adversity quotient เป็นศักยภาพที่บุคคลสามารถเผชิญกับปัญหา และพยายามหาหนทางแก้ไขอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยพลังจิตใจที่จะพัฒน างานอย่างต่อเนื่อง
สตอลต์(Paul G.Stoltz, Ph.D.)เป็นผู้เสนอแนวความคิดและแนวทางพัฒนาสามารถเผชิญกับปัญหา และพยายามหาหนทางแก้ไขอย่างไม่หยุดศักยภาพด้านเอคิว( A.Q.)ขึ้น เขาได้แบ่งลักษณะของบุคคลเมื่อเผชิญปัญหาโดยเทียบเคียงกับนักไต ่เขาไว้ ๓ แบบคือ
๑.ผู้ยอมหยุดเดินทางเมื่อเผชิญปัญหา ( Quitters ) มีลักษณะ
– ปฏิเสธความท้าทายอย่างสิ้นเชิง
– ไม่คำนึงถึงศักยภาพที่ตนมีอยู่ที่จะจัดการกับปัญหาได้
– พยายามหลบหลีกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทุกวิถีทาง
– ไม่มีความทะเยอทะยาน ขาดแรงจูงใจ
– เป็นตัวถ่วงในองค์กร
๒.ผู้หยุดพักพิงเมื่อได้ที่เหมาะ ( Campers ) มีลักษณะ
– วิ่งไปข้างหน้าบ้างและแล้วก็หยุดลง
– หาพื้นที่ราบซึ่งจะได้พบกับปัญหาอุปสรรคเพียงเล็กน้อย
– ถอยห่างจากการเรียนรู้ สิ่งน่าตื่นเต้น การเติบโต และความสำเร็จที่สูงขึ้นไป
– ทำในระดับเพียงพอที่จะไม่เป็นที่สังเกตได้ ได้แก่พยายามไม่ทำให้โดดเด่นเกินหน้าใคร
๓.ผู้ที่รุกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ( climbers ) มีลักษณะ
– อุทิศตนเองเพื่อมุ่งไปสู่จุดที่ดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
– ไม่เคยรู้สึกพอใจ ณ จุดปัจจุบันเสียทีเดียว
– สร้างสิ่งใหม่ๆให้ตนเองและองค์กรของตนอย่างต่อเนื่อง
– สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง และสร้างวินัยแก่ตนเอง
– สนุกกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ
สตอลต์ (Stoltz ) เปรียบชีวิตเหมือนการไต่ขึ้นภูเขา ผู้ที่ประสบวามสำเร็จนั้นจะอุทิศตนก้าวต่อไปข้างหน้าไต่ขึ้นไปย ังจุดสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งช้าบ้างเร็วบ้าง เจ็บปวดบ้างก็ยอมความสำเร็จนั้นหรือก็เป็นเพียงจุดๆหนึ่งของชีว ิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวต่อไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะมีอุปสรรคเพียงใด พบว่า ประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ทำประโยชน์ให้สังคมโลกอย่างไม่หยุดหย่อนแม้กระทั่งภายหลังลงจาก ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐแล้วก็ตาม และพบว่าผลงานที่มีต่อสังคมโลกของท่านในช่วงหลังจากลงจากตำแหน่ งแล้วยังจะมีมากกว่าเมื่อตอนรับตำแหน่งอยู่เสียอีกเนื่องจากท่า นไม่เคยหยุดอยู่กับที่เลยแม้ว่าแนวคิดด้านเอคิว ( AQ. )จะได้รับการพัฒนามาหลังจากไอคิว( IQ. )และเอคิว( EQ. )แต่ด้วยความสำคัญและประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง องค์กร และสังคม ทำให้บริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกานำแนวคิดนี้มาพั ฒนาการดำเนินงาน และ หน่วยงานด้านการจัดการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในประเทศสิงคโปร์ ได้นำแนวคิดนี้ไปบรรจุในแผนการสอนในโรงเรียนความเข้าใจแนวความค ิดด้านเอคิว( A.Q. ) ทำให้เข้าใจถึงวิธีที่บุคคลตอบสนองต่ออุปสรรคหรือสิ่งท้าทายตลอ ดทุกแง่มุมของชีวิต ด้วยวิธีการค้นหาว่าตนเอง ณ จุด ใดของงานนั้นๆ จากนั้นจึงวัดและพัฒนางานนั้นให้ดีขึ้นตลอด
บันไดในการกำหนดเป้าหมายและการไปให้ถึง ได้แก่
ขั้นที่หนึ่ง คือ การจินตนาการความเป็นไปได้ที่ดีกว่าที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอ นาคต( Dream the Dream )
ขั้นที่สอง คือ แปลงสิ่งที่จินตนาการให้เป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน( Making the Dream the Vision )
ขั้นที่สาม คือ การคงสภาพวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนนั้นจนกว่าจะดำเนินการจนบรรลุเป้า หมาย( Sustaining the Vision )
อย่าลืมว่าหัวใจของเอคิว( AQ. )คือดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง ไม่ท้อถอย ดังเช่น โธมัส เอดิสันใช้เวลาถึง ๒๐ ปี ทำการทดลองผลิตแบตเตอรีต้นแบบที่เบาทนทาน ด้วยการทดลอง ห้าหมื่นกว่าครั้งมีผู้สงสัยว่าเขาอดทนทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาตอบว่า การทดลองทั้งห้าหมื่นครั้งทำให้เขาเรียนรู้ความล้มเหลวตั้งห้าห มื่นกว่าแบบเป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จดังกล่าวได้ มิได้หมายความว่า คนที่มีเอคิว( AQ. )ดี ซึ่งเปรียบได้กับคนที่พยายามไต่เขาต่อไปไม่หยุดหย่อนจะไม่รู้สึ กเหนื่อยอ่อน จะไม่รู้สึกลังเลใจที่จะทำต่อไป จะไม่รู้สึกเหงา แต่เป็นเพราะเขารู้จักที่จะให้กำลังใจตนเองสู้ต่อไป เติมพลังให้ตนเองตลอดเวลาที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นและกัดฟัน สู้อยู่ไม่ถอย สิ่งที่เขาต้องการมิใช่ส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าที่บริษัทเขาผล ิตอยู่ มิใช่ต้องการเงินเดือนขั้นพิเศษเป็นผลตอบแทน เพราะนั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ สิ่งที่เขาต้องการแท้ที่จริงคือ เป้าหมายของงานที่ดีขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน มาถึงตอนนี้คงจะเห็นได้แล้วว่าเอคิว( AQ. )นั้นมีประโยชน์ต่อสังคมโลกอย่างใด และหากเด็กได้รับการพัฒนาความคิดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อเด็ก และสังคมอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลประเทศสิงคโปร์ถึงให้ความสำคัญต่อสิ่ง นี้อย่างมาก อานิสงค์แห่งการคงไว้ซึ่งเอคิว ( AQ. )ใน ๓ ลักษณะคือ
๑.ทำให้บุคคลนั้นมีความคล่องตัวอยู่เสมอ ไม่เหี่ยวเฉา การฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาทำให้
เซลล์สมองพัฒนาการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทตลอดเวลาทำให้มีความคิดค วามจำที่ดีอยู่ตลอด
๒.เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ มาติน เซลิกมาน ( Martin Seligman ) ได้ศึกษาตัวแทนประกันชีวิตเป็นเวลา ๕ ปี พบว่าผู้มองโลกในแง่ดี มีผลงานขายประกันสูงกว่า ผู้มองโลกในแง่ร้ายถึง ร้อยละ ๘๘
๓.งานวิจัยด้านระบบจิตประสาทภูมิคุ้มกัน(psycho-neuroimmunology ) พบว่า วิธีการตอบสนองต่ออุปสรรค มีความสัมพันธ์ทางตรงกับ สุขภาพกายและสุขภาพจิต ผู้ที่มีจิตใจต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บป่วยดีขึ้น เช่น ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัด จะพบว่าแผลผ่าตัดฟื้นหายเร็วขึ้น มีอายุที่ยืนยาวกว่า

Tags:

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *