เตือนผู้หญิงปวดท้องน้อยอย่านิ่งนอนใจ

เตือนผู้หญิงปวดท้องน้อยอย่านิ่งนอนใจ
• คุณภาพชีวิต
หากรักษาเบื้องต้นไม่หาย รีบพบแพทย์ด่วน

โอย…โอย…ปวดท้องอีกแล้ว มีประจำเดือนทีไรปวดท้องน้อยทุกทีเลย

เสียงคร่ำครวญดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่ง ถ้าไม่เกิดกับใครจะไม่รู้สึกหรอก

คุณผู้หญิงบางท่านไม่เคยปวดท้องน้อยมาก่อน ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการมีประจำเดือนหรือไม่มีประจำเดือนก็ไม่เคยปวด สบายดีมาตลอด แต่วันนี้ทำไมจู่ๆ เกิดปวดขึ้นมาอย่างเฉียบพลันทันใด

อาการปวดท้องน้อยในคุณผู้หญิงเป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อย ที่ทำให้ต้องมาพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจและรักษา เป็นอาการที่สร้างความกังวลใจให้ได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นอยู่เนืองๆ หรือเป็นเรื้อรังไม่หายสักที

ดังนั้น เราจึงควรมารู้จักกับอาการปวดท้องน้อยกันสักหน่อย เพื่อจะได้ทราบแนวทางทั้งการตรวจวินิจฉัย รวมถึงแนวทางการรักษาด้วย

เบื้องต้นควรเข้าใจให้ตรงกันว่า บริเวณท้องน้อยของคุณผู้หญิงที่ผู้เขียนหมายถึงนั้น ก็คือบริเวณช่องท้องส่วนล่าง นับตั้งแต่ตำแหน่งสะดือลงมา จนถึงขอบบนของกระดูกเชิงกราน

บริเวณทั้งหมดนี้จะมีอวัยวะสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยได้ก็มีมดลูก ปีกมดลูกทั้งสองข้าง (คือท่อนำไข่และรังไข่ทั้งสองข้าง) กระเพาะปัสสาวะอยู่ด้านหน้าของมดลูก มีลำไส้ทั้งเล็กและใหญ่อยู่เต็มช่องท้องซึ่งเคลื่อนไหวบีบตัวอยู่ตลอดเวลา โดยมีไส้ติ่งอยู่ที่บริเวณด้านขวาต่ำกว่าสะดือมาเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังมีท่อไตทั้งสองข้างอยู่ในผนังช่องท้องด้านหลังอีกด้วย

จะเห็นว่ามีอวัยวะมากมายที่อยู่ในบริเวณท้องน้อยนี้ และที่สำคัญทุกอวัยวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยได้ทั้งสิ้น! โดยอาจจะเกิดจากการอักเสบ การบาดเจ็บ การเป็นเนื้องอกหรือเป็นมะเร็ง แม้กระทั่งการผิดปกติมาแต่กำเนิด เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น

โรคของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี คือ มดลูกและรังไข่ที่ทำให้ปวดท้องน้อยได้บ่อยๆ อาจจะแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์

กลุ่มที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ทำให้ปวดท้อง เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก การแท้งลูก เป็นต้น

กลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่ (หรือที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์นั่นแหละ) การปวดประจำเดือนที่มดลูกและรังไข่ปกติ การมีเนื้องอกของมดลูก มีเนื้องอกของรังไข่ที่มันแตกหรือบิดขั้ว เป็นต้น

โรคของระบบทางเดินปัสสาวะ คือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือมีนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือที่ท่อไต เป็นต้น

โรคของระบบทางเดินอาหารที่ทำให้ปวดท้องน้อยที่พบบ่อย เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ หรือมีการทำงานของลำไส้แปรปรวน มีท้องเสียบ้าง ท้องผูกบ้าง หรือการมีเนื้องอกหรือมะเร็งของลำไส้ เป็นต้น

การบ่งบอกว่าอาการปวดท้องน้อยที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากอะไร แพทย์ผู้ดูแลก็จะต้องทำการซักถามประวัติความเป็นมาต่างๆ ลักษณะการปวดว่าเป็นแบบใด ปวดที่ตรงไหน ปวดเวลาใด เวลาปวดสัมพันธ์กับอะไร เช่น มีคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะลำบาก หรือมีเลือดออกมาจากช่องคลอดด้วยหรือไม่ เป็นต้น

จากนั้นก็เป็นการตรวจร่างกายทุกๆ ระบบ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงก็ต้องตรวจภายในด้วย และสุดท้ายก็เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น การเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ อาจจะมีการถ่ายภาพรังสีเอ็กซเรย์ การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ และการตรวจพิเศษอื่นๆ ตามความจำเป็น เช่น ต้องส่องกล้องเข้าไปดูในช่องท้อง หรือส่องดูในลำไส้หรือไม่ เป็นต้น

เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการวินิจฉัยโรคแล้ว ก็จะให้การรักษาตามที่คิดว่าจะเป็นโรคนั้นๆ ไป ซึ่งอาจจะเป็นการให้ยา การผ่าตัด การนัดตรวจติดตามเป็นระยะ หรือแม้กระทั่งการให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวก็เพียงพอแล้วสำหรับโรคบางโรค

ดังนั้น ถ้าครั้งหน้าคุณผู้หญิงเกิดมีอาการปวดท้องน้อยขึ้นมาอีก ถ้ารักษาเบื้องต้นด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ก็อย่ารั้งรอเนิ่นนานเกินไป แวะมาคุยกับแพทย์ หรือมารับการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณเองด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *