หาเงินจากไหนดี : ตอน Article Marketing ไม่ต้องเก่งก็รวยได้

หาเงินจากไหนดี : ตอน Article Marketing ไม่ต้องเก่งก็รวยได้

หลายคนคงคิดว่า “การหาเงิน” คือ “การหางาน” (ประจำทำ) สมัครงานตามบริษัท, ห้างหุ้นส่วน, ห้างร้าน, รับจ้าง เป็นต้น ซึ่งรายได้ล้วนขึ้นอยู่กับลักษณะงานว่าก่อเกิดรายได้ให้กับผู้จ้างมากน้อยแค่ไหน การสมัครงานยิ่งเป็นบริษัทใหญ่และค่าจ้างสูงก็ต้องมีวุฒิการศึกษาที่สูงตามไปด้วย แล้วถ้าจบป.4 ล่ะ หรือจบมัธยมต้น-ปลาย ล่ะ จะได้ค่าจ้างถึง 1 หมื่นต่อเดือนหรือเปล่า จะพอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นมั้ย หรือจะจ้างเราหรือเปล่า

ปัจจุบันถือเป็นโอกาสดีสำหรับคนยุคดิจิตอล เทคโนโลยีการสื่อสารขยายขึดความสามารถมากขึ้น การติดต่อระหว่างประเทศในโลกใบนี้แคบลง แต่วิธีการหาเงินกลับมากขึ้นตามเทคโนโลโยีที่ดีขึ้น ในวันนี้ผมจึงอยากแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ ในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหาเงินเพื่อเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังประสบปัญหาการเงินอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายรายวัน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเช่าบ้าน และอื่นๆที่เป็นค่าใช้จ่ายปัจจัยพื้นฐานในชีวิตประจำวันก็ตาม

วันนี้ผมจึงขอนำเสนออีก 1 ช่องทางการหาเงินบนโลกออนไลน์ (Internet Marketing) ด้วยปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้นทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทยเองก็มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เห็นได้จากการแข่งขันที่ร้อนแรงของค่ายยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอย่าง True, DTAC, AIS, 3BB, TOT และอื่นๆที่แข่งกันเพิ่มความเร็วในการใช้อินเตอร์เน็ตด้วยราคาที่ถูกแสนถูก เมื่อเทียบกับสมัยก่อนความเร็ว 56kb/s, 64kb/s, 1mb/s เป็นต้น

การหาเงินช่องทางนี้ผมเรียกว่า “Article Marketing”

การหาเงิน (Make Money Concept) ในช่องทางนี้ คือ การหาเงินจากค่าโฆษณาบนเว็บไซต์ของเรานั่นเอง ในสมัยก่อนการติดป้ายโฆษณาจะเกิดขึ้นได้กับเว็บไซต์ที่ดังๆ อย่าง Sanook.com, Kapook.com เป็นต้น บริษัทต่างๆจะติดต่อเข้ามาเพื่อขอติดป้ายโฆษณา และทำข้อตกลงกันว่าจะจ่ายค่าโฆษณาที่เว็บดังๆนี้เท่าไร เช่น เหมาจ่ายเดือนละ 100,000 บาท, 200,000 บาท เป็นต้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติด ขนาดของป้ายโฆษณา และถ้าเว็บไซต์ที่ดังรองลงมาก็จะได้ค่าติดป้ายโฆษณาที่ถูกกว่าตามลำดับ ซึ่งมีข้อดีคือรายได้แน่นอนตามข้อตกลง

หมายเหตุ: การวัดความดังของเว็บไซต์นอกจากดูกันที่ชื่อติดตลาดแล้ว ยังวัดจากการจัดอันดับ(Ranking)ของเว็บไซต์ และปริมาณการเข้าใช้งานต่อวันด้วย ปัจจุบันเว็บไซต์จัดอันดับที่น่าเชื่อถืออย่าง Alexa.com ได้จัดอันดับของเว็บไซต์ Sanook.com อยู่อันดับ 7 ในประเทศไทย [ถือเป็นเว็บไซต์อันดับ 1 ของคนไทยที่ติด เพราะอีก 6 อันดับก่อนหน้าเป็นเว็บไซต์ต่างประเทศเช่น google.co.th, Facebook.com, google.com,youtube.com,live.com,blogspot.com] ส่วนเว็บไซต์ Kapook.com อยู่อันดับ 14 ในประเทศไทย

แล้วสำหรับเว็บไซต์ทั่วไปละที่อาจมีคนเข้าวันละหลักร้อย หรือหลักพัน จะขอติดป้ายโฆษณาได้หรือเปล่า คำตอบคือ “ได้” แต่เป็นการติดป้ายโฆษณาจาก Broker อีกที เช่น Google Adsense, Microsoft Adcenter, Yahoo Publisher, เป็นต้น ซึ่ง Broker เหล่านี้มีบริการให้ลงโฆษณาบน Search Engine ที่บริษัทเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ซึ่งสามารถกำหนดให้โฆษณาต่างๆจากคนทั่วโลกมาแสดงผ่านป้ายโฆษณาที่ติดตามเว็บไซต์ทั่วไปได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของเราก็อาจเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ร่วมแสดงโฆษณาให้กับบริษัทที่ติดต่อลงโฆษณากับ Broker ข้างต้นได้ เพียงแต่ค่าโฆษณาเราจะได้ตามจำนวนการเข้ามาดูโฆษณาจากแผ่นป้ายโฆษณาที่ติดไว้ โดยให้ตามค่าโฆษณาเป็นเปอร์เซ็นต์ (ผมจำเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ครับ) ไม่ได้ตายตัว นั่นคือเราอาจได้ค่าโฆษณาครั้งละ $0.01 หรือ $5.00 ก็ได้ครับ

มาถึงตรงนี้หวังว่าผู้อ่านคงพอเห็นภาพการหาเงินเบื้องต้นแล้ว คราวนี้เราจะเริ่มเข้าถึงวิธีการในการทำรวมถึงแนวทาง ดังนี้

แนวทางการทำ Article Marketing

เราทราบแล้วว่าเราจะได้เงินจากค่าโฆษณาที่ติดไว้ที่เว็บไซต์เรา และคนที่ทำให้เราได้ค่าโฆษณาก็คือลูกค้า เราจะเรียกลูกค้ามาที่เว็บไซต์เราได้ยังไง สำหรับ Article Marketing จะเน้นเรื่อง “การให้บริการข้อมูลข่าวสาร” เป็นจุดขายเพื่อเรียกลูกค้าเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา ข้อมูลข่าวสารที่ว่านี้เป็นได้ทุกอย่างที่ลูกค้าอ่านได้ หรือจับต้องได้ เช่น

  • ให้บริการถาม-ตอบปัญหาทางเพศออนไลน์
  • ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลการเมืองสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์
  • ให้บริการข้อมูลการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลก
  • ให้บริการข้อมูลวิเคราะห์ วิจารณ์ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น บทวิจารณ์มือถือทุกค่าย, บทวิจารณ์เกมออนไลน์ เป็นต้น
  • เป็นต้น
  • ข้อมูลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องคิดเองทั้งหมด บางอย่างเราก็สามารถหาข้อมูลจากหลายๆแหล่งแล้วรวบรวมมาสรุปให้บริการอีกที เหมือนอย่างกรณี “เรื่องเล่าเช้านี้” คุณสรยุทธ์ ที่อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แล้วมาสรุปเล่าให้เราฟัง เพียงแต่การนำเสนอต่างกันคือ “คุณสรยุทธ์นำเสนอผ่านสื่อโทรทัศน์” แต่เรา “นำเสนอผ่านอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์” นั่นเอง

    วิธีการการสร้างเว็บไซต์ให้บริการข้อมูล

    คนส่วนใหญ่พออ่านถึงหัวข้อข้างต้นก็ร้องออกมาเลยว่า “อิฉันทำเว็บไซต์ไม่เป็นหรอก”, “ผมไม่มีความรู้คอมพิวเตอร์เลย”, “หนูเพิ่งเรียนอยู่ป.6 เองจะทำได้ยังไง”, และอื่นๆ

    ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปอีกเช่นกัน เพราะปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรีๆ เราเพียงแต่หาข้อมูลมาเขียนเท่านั้น (เท่านั้นจริงๆไม่ต้องทำเว็บเลยเพราะมีสำเร็จรูปหมดแล้ว) ในที่นี้ผมขอแนะนำบริการ CMS (Content Management System) ที่ให้บริการสร้าง WEB LOG (หรือมักเรียกกันว่า “BLOG”) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามรถเขียนบทความ ข้อมูลต่างๆ แสดงขึ้นเว็บได้ทันที ดังนี้

  • 1.Blogger (http://www.blogger.com , http://www.blogspot.com)
  • 2.Wordpress (http://www.wordpress.com) -ปล. สำหรับเว็บไซต์นี้จะไม่สามารถติดป้ายโฆษณาที่เป็น Java Scriptได้
  • 3.Weebly (http://www.weebly.com)
  • 4.Webnode (http://www.webnode.com)
  • 5.Thoughts (http://www.thoughts.com)
  • เป็นต้น
  • หรือเราสามารถค้นหาจาก Search Engine ต่างๆเช่น google.com, yahoo.com, bing.com แล้วค้นหาด้วยคำว่า “create free blog” ก็จะมีให้เห็นเยอะมากครับ ในที่นี้ขอแนะนำเจ้าที่รู้จักกันแพร่หลาย (Well Known) คือ Blooger, WordPress แต่ถ้าต้องการติดป้ายโฆษณาไม่มีข้อจำกัดก็ขอแนะ Blogger ครับ เพราะฉะนั้นเราก็เข้าเว็บไซต์แล้วไปสมัครได้เลยครับ อ่อ…ก่อนสมัครจะต้องมี e-mail address ด้วยครับ เพราะเราจะใช้ e-mail address ในการสมัคร

    แหล่งที่มาของรายได้และการได้รับเงิน

    จากที่กล่าวไว้ข้างต้นรายได้จากค่าโฆษณาจะให้ตามการดูโฆษณาต่อครั้ง หรือจ่ายเงินตามการคลิ๊กเข้าไปดูโฆษณา (Pay Per Click : PPC) โดยยอดเงินที่ได้ทางบริษัท Broker ที่เราไปสมัครเป็นตัวแทนโฆษณา จะกำหนดขั้นต่ำไว้เช่น $100 จะส่งเงินค่าโฆษณามาให้เรา (ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนจำนวนเงินขั้นต่ำนี้ได้) โดยปกติจะส่งเป็นเช็ค (Cheque) เนื่องจากบริษัทเหล่านี้อยู่ต่างประเทศ

    บริษัท Broker ในประเทศไทยก็มี เช่น BumQ.com จะจ่ายให้คลิ๊กละ 0.4 บาทสำหรับป้ายโฆษณาแบบข้อความ และ 0.8, 1.2 บาทสำหรับป้ายโฆษณาแบบรูปภาพแยกตามขนาด เป็นต้น และจะโอนเงินผ่านทางธนาคารไทยพาณิชย์ได้ จ่ายเงินค่าโฆษณาขั้นต่ำคือ 200 บาททุกวันศุกร์ เป็นต้น

    ต้นทุนในการหาเงิน (Make Money Costs)

    ตามสัจธรรมของโลกไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เราต้องมีต้นทุนเพื่อแลกกับเงิน ซึ่งต้นทุนที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเงินอย่างเดียว สำหรับช่องทางนี้ต้นทุนที่ต้องลงทุนคือ

  • 1. เวลา ที่ต้องใช้ในการหาข้อมูล การเขียนขึ้นเว็บไซต์หรือ Blog
  • 2. คอมพิวเตอร์ อาจใช้ตามโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือร้านอินเตอร์เน็ตได้ แต่ขอให้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ครับ
  • 3. ค่าไฟ (ถ้าเราใช้เครื่องส่วนตัว เพราะคอมฯกินไฟเป็นอาหารครับ อย่าเปิดทิ้งไว้เฉยๆ)
  • 4. วินัยและความมุ่งมั่น ข้อนี้เป็นนามธรรม หากขาดสิ่งนี้ไปเราก็จะทำไม่ทำเร็จครับ

  • รายชื่อบริษัท Broker ที่ให้รับสมัครตัวแทนโฆษณา

  • 1. Google Adsense ( http://adsense.google.com )
  • 2. Microsoft Advertising pubCenter ( https://pubcenter.microsoft.com/Login )
  • 3. Yahoo! Publisher Network ( http://advertisingcentral.yahoo.com/publisher/index )
  • 4. Chitika Pulisher ( http://chitika.com/publishers )
  • เป็นต้น

  • สรุปขั้นตอนการหาเงิน (Make Money Step)

  • 1. สมัคร e-mail address
  • 2. สมัครใช้บริการสร้างเว็บไซต์หรือ Blog ฟรี
  • 3. สร้างบทความข้อมูลข่าวสารที่เราสนใจ
  • 4. สมัครเป็นตัวแทนโฆษณา (ก่อนสมัครเป็นตัวแทนโฆษณาขอให้สร้างบทความได้อย่างน้อย 15-20 บทความให้เริ่มมีคนเข้ามาก่อนครับ ไม่อย่างนั้น ตอนสมัครเป็นตัวแทนโฆษณาก็อาจถูกปฏิเสธได้
  • 5. รอรับเงินได้เลยครับ

  • เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

  • 1. ควรอัพเดทข้อมูลเป็นประจำ สม่ำเสมอ น้อยที่สุดคือสัปดาห์ละ 1 บทความ แต่ยิ่งอัพเดทบ่อยก็จะยิ่งทำให้มีผู้อ่านเข้ามามากขึ้นและเร็วขึ้น รวมถึงรายได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
  • 2. อย่าลอกบทความอื่นๆมาแบบ 100% อย่างมาก 50% ก็พอครับ เพราะมีผลกับการประเมินคุณภาพเว็บไซต์ของเราด้วย
  • 3. หาควาามรู้เพิ่มเติมเรื่องการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นวิธีการช่วยส่งเสริมการตลาดโปรโมตเว็บไซต์เราครับ
  • 4. ข้อสุดท้ายนี้สำคัญที่สุดครับ “อดทน” รอและดำเนินการตามแนวทางที่วางไว้อย่างมุ่งมั่น เพราะการตลาดการทำงานไม่ได้ทำได้ภายใน 1 วัน ต้องใช้เวลาค่อยๆสร้าง เร็วสุดที่ผมเคยได้ยินมาคือ 3-4 เดือน แต่หากดำเนินการไปแล้วยังไม่สำฤทธิ์ผล ให้ศึกษาเพิ่มเติมครับ ถามผู้รู้หรือรุ่นพี่ที่ทำอยู่มากมายในอินเตอร์เน็ตครับ
  • ท้ายสุดนี้ขอให้ทุกคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่ จงประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ครับ

    ปล. บทความนี้เป็นบทความที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเขียน และใช้เวลานานที่สุดครับ

    Add a Comment

    Your email address will not be published. Required fields are marked *