สู่กลไกสมองของอัจฉริยะบุรุษ

สู่กลไกสมองของอัจฉริยะบุรุษ
ในอดีต เราเชื่อว่าความฉลาดเฉลียวแบบอัจฉริยะ หรือคนที่เป็น Genious นั้น เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดโดย gene หรือพันธุกรรม หรือไม่ ก็โครงสร้างที่ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสมองและความเป็นอัจฉริยะ จำนวนมาก ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้รู้ และนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกสรุปว่า สติปัญญาระดับอัจฉริยะถูกกำหนดด้วย meme มากกว่า gene หรือพันธุกรรม meme ที่ว่านี้ก็คือ ระบบและนิสัยการคิดที่เราใช้เป็นประจำนั่นเอง งานวิจัยเกี่ยวกับ meme ของบรรดาอัจฉริยะ ของโลกนับร้อยคน ไม่ว่าจะเป็นโสเครติส เซอร์ไอแซค นิวตัน โทมัส เจฟเฟอร์สัน โทมัส เอดิสัน ไล่มาจนถึงไอน์สไตน์ แสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้มีระบบการทำงานของสมองและมีวิธีคิดร่วมที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งระบบวิธีคิดเหล่านี้ คนธรรมดา ๆ สามัญสามารถลอกเลียนแบบได้
ระบบวิธีคิดร่วมของบรรดา Genious
1. การคิดเป็นภาพ คนเราเวลาคิด จะมีพฤติกรรมอย่างน้อย 2 แบบ คือคิดแบบเป็นเสียงดังอยู่ภายใน และการคิดแบบเห็นภาพ คนธรรมดา ๆ จะมีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คนที่มี IQ สูงทั้งหลายมักจะเป็นคนประเภทคิดแล้วสามารถเห็นภาพตามไปด้วยพร้อมกัน ทำให้สามารถสร้างภาพต่าง ๆ ขึ้นในใจได้ตามที่ตนต้องการ มีรายละเอียด สีสัน มิติชัดเจนแทบจะเหมือนของจริง การคิดเป็นภาพ เป็นการทำงานของสมองซีกขวา ท่านที่คุ้นเคยกับเรื่องการทำงานของสมองคงจะพอทราบมาบ้างแล้วว่า มนุษย์แต่ละคน เน้นหนักการใช้สมองแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน บางคนเน้นใช้สมองซีกซ้าย บางคนเน้นสมองซีกขวา สมองซีกซ้าย ทำหน้าที่คิดตามข้อมูล หลักตรรกะเหตุผลที่เราได้เรียนรู้มาส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่สร้างภาพ รับรู้อารมณ์ และความรู้สึกจากประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการ การหยั่งรู้เองตามธรรมชาติ (intuition) คนที่เป็น genious ทั้งหลายคือนอกจากจะมีสมองข้างซ้ายใช้การได้ดีอยู่แล้ว ก็มักมีสมองข้างขวาที่ได้รับการพัฒนาสูงมากกว่าคนธรรมดา ๆ ด้วย กลับมาที่เรื่องการคิดเป็นภาพ ประโยชน์อนันต์ของการสามารถคิดเป็นภาพก็คือ ความสามารถที่จะรับรู้ข้อมูลที่ sub-conscious mind ส่งมาให้เราได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า sub-conscious mind หรือจิตใต้สำนึกของเราคือ genious ตัวจริงภายในตัวมนุษย์ทุกคน sub-conscious mind ของเรา ที่จริงก็คือคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงยอดเยี่ยมซึ่งเก็บข้อมูลทุกเรื่องที่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราเอาไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไรแล้วก็ตาม sub-conscious mind ยังรู้ข้อมูลทุกอย่างกับตัวเราไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ระบบการทำงานภายในร่างกายและระบบวิธีคิดของเรา แต่โดยปรกติเราจะไม่รู้วิธีสื่อสารเพื่อดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึกมาใช้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า จิตใต้สำนึกของเรามักจะสื่อสารกับเรา ตลอดทั้งวัน แต่สื่อสารเป็นภาพ (image) จะเป็นภาพที่ปรากฏในความฝัน หรือภาพที่แว่บเข้ามาในใจชั่วครู่เดียว แต่จะมีเฉพาะคนที่คุ้นเคยกับคิดเป็นภาพ และการเห็นภาพแสงสีเสียงในใจชัดเจนเท่านั้น ที่จะสามารถจับภาพข้อมูลที่จิตใต้สำนึกส่งมาให้เราอยู่ตลอดเวลาได้ จะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์คิดค้น มักจะเล่าว่าตนเองจะเห็นภาพสิ่งที่ตนเองต้องการคิด หรือจะประดิษฐ์ล่วงหน้าแล้วในใจด้วยตาใน แล้วค่อยย้อนไปทดสอบว่าการค้นคว้าหรือสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจะใช้การได้หรือไม่
2. การคิดแบบ synesthetic
นอกจากการสร้างภาพแล้ว คน genious ทั้งหลายในโลก มักจะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า synesthetic หรือการที่เวลาคิดเห็นภาพอะไรในใจใด แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต จะสามารถ activate ให้ประสาทส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ พร้อมกันทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หากคน ๆ นั้นนึกถึงภาพชายทะเลอยู่ในใจ จมูกก็จะได้กลิ่นคาวเกลือพร้อมกลิ่นดอกไม้หลายชนิดที่ปลูกอยู่ริมทะเลพร้อมกัน ผิวก็จะรู้สึกทันทีว่า ลมทะเลตอนนั้นพัดอย่างนุ่มนวล หรือพัดกระหน่ำ ส่วนหูจะได้ยินเสียงคลื่นลมความรู้สึกภายในใจก็จะบอกเราว่าด้วยว่า เป็นบรรยากาศ ที่นุ่มนวล หรืออากาศขณะนั้นหนัก ๆ เพราะมีความชื้นมากเกินไป นอกจากนี้ ตาในก็จะเห็นรายละเอียดที่อยู่ในภาพทะเลนั้น มีสีสรรอย่าง ชัดเจนพร้อมกันไป การมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมเช่นนี้ ผนวกกับการสร้างภาพทำให้นักประดิษฐ์ นักคิด นักเขียน และนักวิทยาศาสตร์ สามารถสร้างสรรค์งานขึ้นมาจากจินตนาการได้อย่างแม่นยำ ชัดเจน สามารถทำการทดลองต่าง ๆ ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแก้ไขสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ในใจแก้ไขสมการยาก ๆ ในใจได้หมด การมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคม ยังทำให้คนเรามีวิจารณญาณที่ดี ไม่ต้องลองผิดลองถูกมากนักในชีวิต เพราะทำให้เรารู้ในทันทีว่า เราชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยความรู้สึกเป็นตัวบอก
สมมุติมีคน 2 คน ต้องการจะเลือกแบบบ้านที่จะสร้าง คนที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคมมองแบบบ้าน 10 แบบ จะตัดสินใจได้ว่า บ้านหลังอาจจะเลือกได้เลยและขอไปดูบ้านตัวอย่างแค่หลังเดียวก็พอ แต่อีกคนอาจจะต้องขอลองไปดูบ้านตัวอย่างให้ครบทั้ง 10 หลัง เพราะไม่สามารถสร้างจินตนาการจากรูปบ้านที่เห็นได้ ว่าของจริง น่าจะเป็นอย่างไร เราจะชอบหรือไม่ การฝึกสร้างภาพ ท่านที่ต้องการฝึกฝนความสามารถในการสร้าง image ต่าง ๆ ในใจ สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการหัดเขียนบรรยายภาพที่เราเคยเห็นพร้อม ความรู้สึก และอารมณ์ในขณะนั้นบ่อย ๆ แต่ trick ก็คือ จะต้องอธิบายให้ละเอียดเหมือนเรากลับไปอยู่ในสถานการณ์ตรงนั้นจริง ๆ นอกจากนี้ การอธิบายต้องครอบคลุมถึง ข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้านึกถึงภาพวันรับปริญญา ก็ต้องเห็นตนเองว่า อยู่ในชุดอะไร ทรงผมแบบไหน รู้สึกถึงอุณหภูมิของอากาศในวันนั้น รู้สึกว่าแสงแดดในวันนั้นตอนออกไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ร้อนแรงเพียงใด นอกจากนี้ก็ต้องเห็นแววตา และสีหน้าของญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แต่บางคนอาจพยายามนึกต่อไปด้วยว่าแต่ละคนแต่งตัวอย่างไร และในวันนั้นเราเองมีความรู้สึกภายในใจอย่างไร ปลาบปลื้มปีติ หรือเป็นกังวลเพราะตื่นเต้นว่าจะทำอะไรพลาดตอนรับพระราชทานปริญญา ต้องอธิบายให้ละเอียดราวกับเขียนนิยาย ประโยชน์ของการเขียน คือทุกครั้งที่เราบันทึกสิ่งที่เราเห็นและรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราจะต้องปลุกประสาทสัมผัสทั้งห้าให้ขึ้นมาทำงาน ทำบ่อย ๆ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราก็จะละเอียดมากขึ้น ไวมากขึ้นทุกที
3. การบันทึกความคิดที่แว่บเข้ามาในสมอง
บรรดา genious ทั้งหลาย จะมีเรื่องเล่าคล้อย ๆ กันว่า จะได้ยินเสียง หรือมีความคิดดี ๆ แว่บเข้ามาในใจ ในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความคิดที่แว่บเข้ามา และพวกเขาก็จะรีบบันทึกเรื่องราวหรือความคิดเหล่านั้นลงเป็นตัวอักษรทันทีเพราะความคิดที่ sub-conscious สื่อสารมาให้เหล่านี้ ก็เหมือนความฝัน ซึ่งถ้าไม่รีบตื่นมาจดเอาไว้ ไม่ช้าก็จะเลือนหายไป และไม่สามารถเรียกคืนมาได้ เพราะความคิด ความฝันเหล่านี้ ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในสมองส่วนที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน นอกจากการบันทึกความคิดที่ผ่านเข้ามาโดยบังเอิญแล้ว บรรดาอัจฉริยะทั้งหลายยังชอบบันทึก feed back หรือความรู้สึกของตนที่มีต่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น เช่น เวลาอ่านหนังสือแล้ว มีข้อสงสัยความคิดขัดแย้ง ข้อวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะรีบเขียนบันทึกไว้เดี๋ยวนั้น
ตอนนั้น อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า บันทึกสิ่งที่เป็น first impression หรือความรู้สึกแรกของเราเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยไม่ผ่านกระบวนการคิด อย่างเป็นระบบ ประโยชน์ของการทำเช่นนี้ คือ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก subconscious mind ของเรา ซึ่งมักจะเป็นความรู้หรือ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ยิ่ง
4. คำถาม หรือการมี Inquisitive mind Genious
ส่วนใหญ่ จะเป็นมนุษย์เจ้าปัญญา ขี้สงสัย ไม่ค่อยยอมรับความเชื่อ ความคิดของคนอื่นได้ง่าย ๆ และเมื่อสงสัยอะไรแล้ว ก็มีความปรารถนา แรงกล้าที่จะค้นคว้า หาคำตอบ หรือแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ไอน์สไตน์นั้น เคยให้สัมภาษณ์ว่า ชีวิตของเขาใน 1 ชั่วโมงจะใช้เวลาตั้งคำถามที่ดี 55 นาที อีก 5 นาที เอาไว้ใช้หาคำตอบ ซึ่งตรงกับหลักของวิชาปรัชญาที่เชื่อว่า คำถามที่ดี มีค่ามากกว่าการแสวงหาคำตอบ หลักง่าย ๆ ในการตั้งคำถามที่ดีก็คือ การคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ผ่านคำถาม What? Why? How? และพิจารณาอยู่เสมอว่า “ความจริง” มักจะมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่เราเห็นหรือได้ยินเสมอ นึกถึงเราเป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ห่างจากภูเขาใหญ่สูงตระหง่านเพียง 1 เมตร ในสถานการณ์เช่นนั้น เราไม่มีทางเห็นหน้าตาของภูเขาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะไม่เห็นด้านข้าง และด้านหลังของภูเขา สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็น ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ต่างกับภูเขาลูกนี้ ดังนั้น คนเราจึงควรมี inquisitive mind และปฏิบัติตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะคนพูดน่าเชื่อถือ อย่าเชื่อเพราะเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ยอมรับตามกันมา แต่ให้หัดคิดพิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองด้วย
5. การทำงานที่ท้าทายอยู่เสมอเพื่อให้จิตเข้าสู่ Flow State
คนที่เป็นอัจฉริยะมักจะมีประสบการณ์กลับเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า “the flow state” ในระหว่างการทำงาน Mihalyi Csikszentmihalyi นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือชื่อดังเรื่อง Flow: The Psychology of Optimal Experience อธิบายว่า the flow state ก็คือ สภาวะที่จิตใจของเราไปจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ จนกระทั่งไม่มีความคิดอื่น ๆ หรือเสียงรบกวนภายในอื่น ๆ ผ่านเข้ามาในใจ หรือที่ในภาษาพุทธเรียกว่า อยู่ในสมาธินั่นเอง Csikszentmihalyi ทำการสัมภาษณ์คนจำนวนมากจากหลากหลายอาชีพทั่วโลกและพบว่า จิตของคนเราจะทำงานได้มีพลังมากที่สุด เมื่อถูกบังคับให้ทำงานที่มีความท้าทายกำลังพอเหมาะ ไม่ยากเกินไป และไม่ง่ายเกินไป โดยงานที่ยากเกินไป จะทำให้เกิดความกังวล ตั้งใจมากไป หรือมีความกลัวว่า จะทำไม่ได้ ทำไม่ทัน ส่วนงานที่ง่ายเกินไป จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำงานผิดพลาดได้ง่าย จากการศึกษาชีวิตคนที่เป็นอัจฉริยะ พวกเขามักจะทำงานประดิษฐ์ คิดค้นใหม่ ๆ ซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ทำมาก่อน หรือทำเรื่องที่ท้าทายตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ใจไปจดจ่อกับการคิดเรื่องนั้น ๆ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ เป็นสาเหตุให้การคิด การกระทำของคนเหล่านี้มีพลัง และคิดได้ต่อเนื่อง ยาวนาน ความต่อเนื่องของ พลังความคิด ทำให้คน ๆ เดียวอย่างโทมัส เอดิสัน สามารถสร้างและจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้กว่า 1 พันชนิด และบันทึกความรู้ และข้อคิดต่าง ๆ ลงในรูปหนังสือและโน้ตต่าง ๆ ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังรวมแล้วกว่า 3 ล้านแผ่น Gerontologist หรือผู้เชี่ยวชาญด้านคนชราในสหรัฐฯ ท่านหนึ่ง คือ David Snowdon ได้ไปทำการศึกษาชีวิตของแม่ชีสำนัก Notre Dame ในรัฐมินิโซต้าของสหรัฐฯ ซึ่งทั้งกลุ่มจะมีอายุยืน ระหว่าง 90 – 100 กว่าปี และยังมีความจำตลอดจนสุขภาพดี ไม่มีอาการหลงลืมเหมือนคนชราโดยทั่วไป Snowdon พบว่า แม่ชีสำนักนี้ จะมีความเชื่อว่า
คนเราจะต้องไม่อยู่นิ่งเฉย จะต้องมีกิจกรรมทางความคิด ต้องเรียนรู้ เล่นเกมส์ มีการโต้วาที พูดคุย สัมมนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้สมอง และเวลาผ่านไปอย่างว่างเปล่า นอกจากนี้ แม่ชีทุกคนในสำนักนี้ก็จะเขียนบันทึก diary แบบละเอียดเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก และการแสวงหา จิตวิญญาณของตนเองทุกวัน ทำให้เขาได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด สมองของเราจะทำงานได้อย่างดี หากเราฝึกฝน ให้สมองมีสิ่งท้าทายอยู่เรื่อย ๆ ข้อสรุปข้างต้นตรงกันกับวิธีคิดของ Csikszentmihalyi ที่ว่าคนที่ต้องการฝึกฝน ให้จิตและสมองของตน มีพลังก้าวเข้าสู่ the flow state จะต้องใช้ชีวิตแบบที่มีความสลับซับซ้อน ต้องคิด เขียน แก้ปัญหาบ่อย ๆ แทนที่จะใช้ชีวิตง่าย ๆ เรียบ ๆ จนเกินไปจนสมองไม่ได้รับการกระตุ้นหรือท้าทายสติปัญญา และในขณะเดียวกันเรา ก็ต้องไม่บีบบังคับตนเอง ให้ทำในสิ่งที่เกินความสามารถ ของตนจนเกินไป จนกระทั่งทำให้เกิดความกังวล ความเครียด ซึ่งจะมาทำลายสมาธิ และพลังความคิดของเรา ในที่สุด
6. ความสามารถในการอ่านหนังสือได้เร็ว
คนที่เป็นอัจฉริยะมักจะเป็นคนที่อ่านและรับรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว และหลายคนจะมีสิ่งที่เรียกว่า photographic memory คือเวลาอ่านอะไรสมองก็จะบันทึกข้อมูลเป็นภาพเอาไว้ทั้งหน้า เวลาเรียกข้อมูลมาใช้ก็กลับมาในรูปของรูปภาพ ทำให้คนพวกนี้ จำรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ได้ทั้งหมด และเรียกใช้ได้ทันทีตามความต้องการ คนที่อ่านหนังสือได้เร็ว มักจะมีหลักการอ่านที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเราสามารถเลียนแบบได้ดังนี้
6.1 เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา key concept ก่อน เมื่อทราบ key concept แล้ว ก็เริ่มตัดสินใจว่าทำไมเราต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ เราต้องการรู้อะไรบ้าง ต้องการอ่านส่วนไหนบ้าง แล้วจึงเริ่มอ่านอย่างเจาะประเด็น เวลาของเรามีค่า และมีจำกัด เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอ่าน ทุกอย่างทุกเรื่องที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น ๆ
6.2 อ่านแบบ photo reading หรือการทำให้ตาของเราเป็นเหมือน scanner ซึ่งจับภาพตัวหนังสือที่ละหลาย ๆ บรรทัดพร้อมกัน จะทำให้เราอ่านหนังสือได้เร็วกว่าการให้ตาไล่มองไปทีละตัว และถ้าต้องการอ่านแบบ photo reading เราจะต้องหลีกเลี่ยงนิสัย การอ่านออกเสียงในใจไปทีละคำ (sub-vocalization) เพราะสมองของเราเข้าใจคำเป็นภาพและอ่านเป็นภาพได้รวดเร็วกว่า การอ่านออกเสียงตามตัวอักษรหลายร้อยเท่าตัว การอ่านออกเสียงทีละคำ จะทำให้การอ่านแบบ photo reading ของเราช้าลงกว่า ที่ควรจะเป็นมาก
7. K-check
คนที่เป็นอัจฉริยะทั้งหลาย หลังจากที่ได้ใช้ตรรกะเหตุผล และทฤษฎีต่าง ๆ ในการขบคิดปัญหาแล้ว ท้ายสุดจะถามความรู้สึกลึก ๆ ของตนเอง ว่าสิ่งที่ได้คิดและรับรู้มาโดยกระบวนการของสมองข้างซ้าย เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า (kinesthetic check) การถามความรู้สึกลึก ๆ ของเราเป็นการสื่อสารตรงไปยังสมองข้างขวา ซึ่งคือ genious ตัวจริงภายในตัวของเรา สมองข้างขวามัก จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ในรูปของความรู้สึก ถ้าความรู้สึกลึก ๆ บอกว่า “ใช่” แนวโน้มก็คือเราเดินทางอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ถ้าความรู้สึกบอกว่า “ยังไม่ใช่” ก็อาจจะต้องปรับวิธีคิดของเราต่อไป ข้อควรระวังคือ คนที่ยังไม่เห็นความคิด และไม่เคยดูความรู้สึกของตนเอง จะยังสับสนระหว่าง ความคิดและความรู้สึก และไม่สามารถใช้ k-check ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงควรเริ่มต้นฝึกฝนแยกแยะความคิดออกจากความรู้สึกให้ได้ก่อน

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *