สมคิด เลิศไพฑูรย์ ผู้ชายคิดบวก

สมคิด เลิศไพฑูรย์ ผู้ชายคิดบวก

โดย สกุณา ประยูรศุข

ไม่ต้องสาธยายประวัติให้มากความสำหรับผู้ชายคนนี้ “สมคิด เลิศไพฑูรย์”

เพราะชื่อเสียงรู้จักกันดีในฐานะสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550

ปัจจุบันเป็น “คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”

“สมคิด” พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ บ้านอยู่ฝั่งธนบุรี ย่านบุคคโล อาชีพของครอบครัวแต่เดิม พ่อเป็นช่างไฟฟ้าชื่อ “ห้าว” เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนแม่ชื่อ “ถวิล” ค้าขายเสื้อผ้าในตลาดสมัยโน้น

ทั้งพ่อและแม่เป็นคนจีน นามสกุล “แซ่เล” แต่สมคิด กลับใช้นามสกุล “เลิศไพฑูรย์” เพราะเป็นผู้ตั้งตระกูลนี้ขึ้นมาเอง โดยมีน้าชายแท้ๆ-คำรณ บุญเชิด อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้ตั้งให้

สมคิด เกิดวันที่ 9 กรกฎาคม 2502 ปัจจุบันอายุ 50 ปี แต่งงานแล้วกับภรรยาชาวมุสลิมชื่อ “ฉัตรแก้ว” มีลูกชายฝาแฝดสองคน “ฐากร” กับ “ฐากูร” แปลว่าพระเจ้า ชื่อของลูกชายทั้งสองได้ นรนิติ เศรษฐบุตร ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคนตั้งให้

เรียนจบมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สอบเข้าคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จบเนติบัณฑิตไทย ปี 2527 จากนั้นไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส 2 ประเทศฝรั่งเศส จนจบปริญญาเอกกฎหมายมหาชน

ประสบการณ์พอหอมปากหอมคอ เคยเป็นผู้ช่วยรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรรมการสถาบันพระปกเกล้า กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ จุฬาฯ เกษตรศาสตร์ รามคำแหง โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ วิทยาลัยรัตนบัณฑิต ฯลฯ

“เดือนพฤษภาคม 2552 ชื่อของ “สมคิด เลิศไพฑูรย์” เป็นหนึ่งในแคนดิเดต อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”

สนใจเรียนกฎหมายมาตั้งแต่ต้น?

ไม่รู้จะพูดไงดี มันจับพลัดจับผลู ผมไม่ได้ตั้งใจเลือกเรียนนิติศาสตร์ ใจผมคือว่าสมัยก่อนผมเรียนโรงเรียนเตรียมอุดม เป็นนักเรียนเรียนดีพอสมควร แม่ก็อยากให้เป็นหมอ แต่ผมไม่ค่อยชอบเพราะคะแนนชีววิทยาผมไม่ค่อยดี ก็เลยไม่เลือกหมอ

แต่แม่ก็ไม่โกรธนะ แม่ตามใจเพราะเราเรียนดี ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลือกคณะวิศวะ จุฬาฯ อันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก ที่เหลือเลือกธรรมศาสตร์หมดเลย เผอิญว่าพี่สาวอยู่ธรรมศาสตร์ และตัวเองสนใจทางการเมือง เห็นว่าธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยที่ทำเพื่อส่วนรวม เลยตั้งใจเลือกนิติศาสตร์อันดับ 2 บัญชี ธรรมศาสตร์ อันดับ 3

บรรยากาศในมหาวิทยาลัยสมัยนั้นเป็นยังไง?

ช่วงนั้น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการชุมนุมประท้วงเยอะมาก การประท้วงใหญ่คือตอนที่รัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ประกาศขึ้นราคาน้ำมัน แล้วตอนนั้นมันหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาใหม่ๆ รัฐบาลเผด็จการพยายามขัดขวางไม่ให้นักศึกษาอ่านหนังสือพิมพ์ บรรยากาศเป็นแบบนั้น พวกเรา และรุ่นพี่ก็พยายามจะต่อสู้เรื่องพวกนี้กัน

ตัวผมเองตอนเข้าไปช่วงแรกไปทำกิจกรรมอยู่กับ อมธ. (องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และอยู่สภานักศึกษา ผมเข้าเรียนปี 2521 รุ่นเดียวกับผมก็มี อธิการบดีสุรพล นิติไกรพจน์, อภิชาติ ดำดี, วสันต์ ภัยหลีกลี้ รวมถึงวิฑูรย์ นามบุตร, นพดล ปัทมะ, อัญชลี วานิช เทพบุตร ตอนนั้น นายก อมธ. คือบุญสม อัครธรรมกุล

ผมอยู่พรรคแสงธรรม ตอนทำกิจกรรมได้ความรู้เยอะ แต่ว่าสิ่งที่ขาดหายไปคือไม่ค่อยได้เข้าเรียน (หัวเราะ) เพราะว่ากิจกรรมสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ กิจกรรมสมัยนี้มันผูกกับเรื่องการเรียนด้วย แต่สมัยนั้นการเมืองคือการเมืองแท้ๆ เพราะฉะนั้นก็ได้เรียนหนังสือน้อย

แต่ก็ได้ความรู้อีกด้านได้ประสบการณ์

นั่นคือประสบการณ์ใหญ่ของชีวิตเลยล่ะ การทำกิจกรรมนักศึกษาผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ แล้วนักศึกษานิติศาสตร์โดยวิชาชีพแล้วมันไม่ต้องทำอะไร เข้าห้องเรียนหนังสือ ฟังอาจารย์แล้วก็สอบเท่านั้นเอง แต่การมาทำกิจกรรมนักศึกษาทำให้ได้เจอเพื่อนต่างคณะ เจอใครต่อใครที่หลากหลายวิชาชีพและมีความเห็นต่างจากเรา โดยเฉพาะการประชุมต้องรับฟังความเห็นของคนอื่น การจับประเด็น สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างเสริมให้เราเป็นคนที่นอกจากมีความรู้แล้วยังมีเรื่องอื่นๆ ด้วย ผมว่ามีประโยชน์ จนท้ายที่สุดมาเป็นอาจารย์ ก็คุ้มกับที่เราอยู่นอกห้องพอสควร

สมัยเรียนนิติศาสตร์คะแนนดี?

(หัวเราะ)..มาขยันมากๆ ตอนปี 4 ท็อปหลายวิชา เท่าที่จำได้กฎหมายแรงงาน กฎหมายปกครอง นิติปรัชญา ก็อาศัยพื้นฐานการเป็นนักเรียนสายวิทย์มาก่อน วิชาที่ได้คะแนนดีที่สุดถนัดที่สุด คือกฎหมายปกครอง

ทำไมไม่เป็นทนายความ?

ไม่ชอบ-ไม่ชอบอาชีพทนายความ เพราะรู้ว่าเป็นอาชีพที่ต้องไปเอาชนะคะคาน

คืออย่างนี้ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ผมอยากไปเรียนต่อเมืองนอกมาก จิตใจมันวุ่นวาย อยากไปไหนก็ได้ที่เป็นเมืองนอก ไม่มีเป้าหมายว่าประเทศอะไร ขอให้ได้ไป ผมไปเดินตามสถานทูตต่างๆ ถามเขาว่ามีทุนไหม ท้ายสุดไม่มีเลย ส่วนใหญ่เขาจะให้ทุนกับข้าราชการที่ทำงานแล้ว กระทั่งมาเห็นทุนทุนหนึ่ง เขาให้ไปรัสเซีย เป็นทุนของคณะศิลปศาสตร์

ตกลงเลยไปรัสเซีย?

ไม่ได้ไป- -ทีแรกตั้งใจจะไป แต่เพราะน้าผม ท่านเป็นน้าแท้ๆ ชื่อคำรณ บุญเชิด มาเตือนว่าอนาคตยังอีกไกล ค่อยๆ ดูก็ได้ ก็เลยไม่ไป ไปสมัครงานที่ ก.พ. แทน แต่ทำได้เดือนเดียวก็ลาออก เพราะเบื่อ

ไม่คิดเป็นผู้พิพากษา

ไม่อยากเป็น ไม่ว่าผู้พิพากษาหรือ อัยการ เพราะว่าไม่ชอบเดินทาง คือสมัยก่อนอัยการ ผู้พิพากษา เขาต้องเดินทางย้ายไปนั่นไปนี่ ผมไม่ชอบแบบนี้ และอีกอย่างผู้พิพากษาต้องวางตัวนิ่งๆ ชีวิตจืดๆ ชืดๆ ในสายตาผม ซึ่งสมัยนี้ผู้พิพากษาไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แต่ผู้พิพากษาสมัยก่อนต้องวางตัวดีๆ ตีกอล์ฟยังไม่ได้เลย แล้วสมัยก่อนผู้พิพากษาต้องไม่ออกไปกินเลี้ยง ทำงานเสร็จกลับบ้านไปเขียนคำพิพากษาของตัวเอง ต้องทำตัวนิ่งๆ ไม่คบคนมากนัก เพราะคบแล้วอาจไปเจอคนที่เป็นคดี ก็จะลำบากใจ เพราะฉะนั้นในอดีตที่ผ่านมาผู้พิพากษาจะวางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือ แต่ผมไม่ได้ว่าสมัยนี้นะ ที่พูดมาก็คือภาพที่ผมมองเห็นซึ่งผมว่าไม่ถูกกับบุคลิกของเรา

แล้วได้ไปเมืองนอกไหม?

ออกจาก ก.พ. มาสมัครเป็นอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ปี 2525 ผมสอบได้ที่ 1 พอเป็นอาจารย์ได้สองปีก็ไปเมืองนอก ได้ทุนรัฐบาลฝรั่งเศส ถ้าทุนของตัวเองคงไม่ได้ไปเพราะเราก็ลูกคนจน ไปเรียน 5 ปี ที่มหาวิทยาลัยปารีส 2 เป็นมหาวิทยาลัยนิติศาสตร์ที่ดีที่สุดในฝรั่งเศส

ทำงานด้วยเรียนด้วย

ที่จริงนักเรียนฝรั่งเศสไม่นิยมทำงาน แต่ผมเป็นข้อยกเว้น ผมไปทำงานที่ร้านอาหารชื่อ บ้านไทย ตอนนี้ก็ยังอยู่ ผมไปเสิร์ฟไม่ได้เป็นพ่อครัว แต่ผมก็ทำอาหารเป็นนะ ทำเป็นทุกอย่าง อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ (หัวเราะ) แกงเขียนวหวาน พะโล้ แกงจืด ไข่เจียว ทำเป็นหมด ลำบากครับชีวิตนักเรียนนอก ไม่เหมือนดูในหนัง เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย

จบจากนอกกลับมาเป็นอาจารย์ที่ มธ.

กลับมาสอนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง ที่สำคัญผมมาสอนวิชากฎหมายปกครองท้องถิ่นเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะวิชานี้ยังไม่มีใครสอน ผมเป็นคนแรกๆ ของประเทศไทยที่จบวิชานี้มา แล้วเปิดวิชานี้เป็นคนแรกของคณะนิติศาสตร์

ระยะหลังการตีความของนักกฎหมายเป็นการมุ่งเอาชนะกัน

มันเป็นมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งเป็น เพียงแต่ว่าช่วงนี้เราใช้กฎหมายมากขึ้น แต่เป็นการใช้แบบศรีธนญชัย ซึ่งไม่ถูกต้อง อันนี้ผมเห็นด้วย แต่การพูดว่านักกฎหมายก็ต้องแยกแยะนะ เพราะนักกฎหมายที่ดีๆ เขาตีความตรงกันทั้งนั้น ไม่มีปัญหา

ผมยกตัวอย่าง เช่น ม.190 เรื่องการทำสัญญากับต่างประเทศ มีคนพยายามจะอธิบายว่า ม.190 นี่ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 แย่มาก ทำให้รัฐบาลอ่อนแอทำสัญญากับใครไม่ได้เลย นี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ

เพราะอาจารย์อยู่ในกลุ่มผู้ร่างด้วย

ครับ แต่ผมอยากบอกว่าให้ไปดูคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมือง เขาเสนอแก้ ม.190 ไหม? ไม่ได้แก้ เขาเห็นว่า ม.190 เขียนดีอยู่แล้ว มีปัญหานิดหน่อยแค่นั้นเอง แต่ว่าถ้าฟังคนโฆษณาชวนเชื่อ ม.190 มีปัญหา มันตั้งใจทำให้รัฐบาลอ่อนแอ เราต้องแก้มัน ต้องยกเลิก ซึ่งมีบางเรื่องที่เป็นหลักการสำคัญ

ผมยกตัวอย่างรัฐประหาร กันยายน 2549 ผมไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญปี 50 มีคนถามผมว่าไปร่วมกับเผด็จการได้ไง ผมบอกผมไม่ได้ไปร่วมกับเผด็จการ

(หัวเราะ) ผมนี่เรียนเรื่องรัฐธรรมนูญมา สอนเรื่องนี้มา ถึงเวลาต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญ ถามว่าผมควรเข้าไปร่วมร่างไหม ต่อให้ผมไม่ได้เป็นคนร่างแล้วมีคนอื่นร่าง

ถามว่าถ้าผมไปร่วมร่างเนื้อหามันจะออกมาเป็นประชาธิปไตยไหม ผมก็บอกว่าผมต้องพยายามให้เป็นประชาธิปไตย เพราะผมก็มีศักดิ์มีศรีมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง ผมไม่ใช่ไปทำตามใบสั่งใคร และจริงๆ มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ผมยืนยัน

ผมคิดว่าเรื่องอุดมการเรื่องความรับผิดชอบทุกคนมีหมด เพียงแต่ว่าถึงเวลาทำงานจะทำงานยังไง มันต้องอาศัยจุดยืนที่ชัดเจนเป็นกลางของตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนถ้าบอกว่าเป็นเหลืองเป็นแดง ทุกคนก็จะบอกได้ว่าตัวเองยืนอยู่ข้างไหน แม้แต่คนที่บอกว่าเป็นกลาง แต่ถ้าถามเขา เฮ้ย..คุณเป็นกลางก็จริงนะแต่ถามว่าเหลืองกับแดงคุณชอบฝั่งไหน คนเป็นกลางยังพูดได้ว่าชอบเหลืองหรือชอบแดง ณ ตอนนั้น

เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติเราต้องแยกให้ออก ในต่างประเทศเขาถึงยอมให้ข้าราชการสังกัดพรรคการเมืองได้ แต่ว่าเวลาทำงานต้องวางตัวเป็นกลาง เขาทำกันได้ ระบบมันก็ไปได้ดีพอสมควร

ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง-แดง เป็นผลของการพัฒนาทางการเมืองหรือไม่?

เปล่า เป็นเรื่องที่เราไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดว่าไม่ใช่ผลของการพัฒนาทางประชาธิปไตย แต่มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อหนึ่งที่หลายประเทศจะต้องเกิดขึ้น รวมทั้งประเทศไทย เพียงแต่ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่อดทนน้อยเมื่อเทียบกับสังคมอื่น คนไทยเราทนไม่ค่อยได้ต้องลุกขึ้นมาจัดการ

ขั้นตอนนี้เราอาจผ่านโดยบังเอิญ ไม่ตายตัวว่าต้องผ่านสเต็ปนี้ไปจึงจะพัฒนาประชาธิปไตย

ผมมองโลกในแง่ดีนะ…

เรื่องยุบพรรคการเมืองรัฐธรรมนูญปี 50 มีเงื่อนงำ?

ไม่มีเลย ถ้าถามผม-คนมองจิ๊กซอว์มากเกินไป คือมีคนมองว่า คมช.ตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ผู้ร่างก็ไปเขียน ม.237 เสร็จแล้วก็ไปตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็ใช้ ม.237 คือถ้ามองอย่างนี้ โอ้โฮ…พล.อ.สนธิ ต้องเก่งมาก วางแผนเนี้ยบเต็มที่ 100% ผมไม่เชื่อหรอกว่าใครทำได้ตามนี้

คือ ม.237 ง่ายๆ เลยว่าคนร่างเขาคิดว่า เฮ้ย! มันทุจริตเลือกตั้งมากมาย ถ้าเอาแต่คนทุจริตไม่เอาหัวหน้าพรรคด้วย ไม่เอากรรมการบริหารพรรคด้วยไม่เอาพรรคด้วย มันจะแก้ปัญหาประเทศไทยได้ยังไง เขาคิดแค่นี้ ไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น และตอนที่เขาคิด เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่ามาตรานี้จะได้ใช้

มันดันได้ใช้ (หัวเราะ) ไม่น่าเชื่อเลย

แต่ถ้าถามว่ามันดุเดือดรุนแรงไปไหม มันดุเดือดรุนแรง

ถึงตอนนี้การเมืองไทยไม่มีปฏิวัติรัฐประหารอีก?

ผมเป็นคนพูดมาตลอดว่ารัฐประหารจะมีในประเทศไทย เพียงแต่ว่ารัฐประหารจะทำได้ยากขึ้น แล้วผู้ที่ทำรัฐประหารก็ได้บทเรียนจากการทำรัฐประหารทั้งนั้น

ฉะนั้น คนที่จะทำรัฐประหารนั้นผมว่าทำยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ และผมคิดว่ายังมีรัฐประหารในไทยอีก ตราบใดที่คนไทยอดทนไม่พอ รัฐประหารก็มา

เป้าหมายการทำงานในตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.

เราพยายามทุกอย่างเพื่อทำให้วิชาการของคณะดีขึ้น และโดยรวมแล้วคะแนนของนักศึกษานิติศาสตร์ มธ.สูงขึ้น จีพีเอของนักศึกษาที่สอบเข้าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.7

แต่ข้อด้อยของธรรมศาสตร์อันหนึ่ง คือเราย้ายไปอยู่รังสิต ซึ่งพ่อแม่จำนวนหนึ่งไม่ให้ลูกไปเรียนเพราะถือว่าไกล แต่ผมว่าถ้าเขาไปแล้วปีหนึ่งผ่านไปเขาจะเปลี่ยนความคิด โดยรวมแล้วเราดูแลนักศึกษาได้ดีพอสมควร

สิ่งที่เราพยายามพูดถึงมากที่สุด คือปัจจุบันเรามีอาจารย์ 78 คน กำลังขอเพิ่มอีก 5 คน เป็น 83 คน มากที่สุดในประเทศไทย และเรามีศาสตราจารย์ทั้งหมด 11 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในนิติศาสตร์ของประเทศไทย มากที่สุดของสังคมศาสตร์ของประเทศไทยด้วย

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของผมก็คือ เราต้องเป็น “เดอะ เบสท์” ไม่ใช่แค่ของประเทศไทยเท่านั้น แต่เราอยากเป็นนิติศาสตร์อันดับ 1 ของเอเชีย

ความจริงพูดได้เลยว่ากฎหมายมหาชนของเราเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน และเรามีการเปิดสาขากฎหมายสิ่งแวดล้อมขึ้นในประเทศไทย ซึ่งที่อื่นเขาไม่มี เรามีสาขากฎหมายภาษี เป็นโฉมใหม่ของคณะนิติศาสตร์ มธ. และเราขยายไปสู่ต่างประเทศมากขึ้นด้วย

ผมเชื่อว่าจะเลือกเรียนนิติศาสตร์ที่ไหน พ่อแม่ผู้ปกครองยังพูดถึงนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นอันดับ 1 ของประเทศ

เป้าหมายอนาคตเป็นอธิการบดี

ผมเป็นแคนดิเดตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัยหน้า

อายุยังน้อย

ไม่น้อยหรอกครับ 50 แล้ว เพียงแต่ผมหน้าอ่อนเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

คนชอบชมผมหน้าอ่อน ลองเทียบผมกับอาจารย์สุรพลก็แล้วกัน รุ่นเดียวกันแต่อาจารย์สุรพลดูไปก่อนผมสักสิบปี (หัวเราะเสียงดัง)

ผมไม่ได้ชอบนะเวลาคนคิดว่าเราเด็ก มันหมายถึงว่าเราไม่เหมาะที่จะเป็นนั่นนี่ อย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถามว่าเขาอายุเท่าไหร่ 45 แล้ว ไม่เด็กแล้วนะครับ ผมว่าไม่แฟร์กับเขาที่คนไทยคิดว่าเด็ก ผมอยู่ฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีเขาอายุ 30 อายุน้อยหมด

ผมเองก็ไม่เด็กร่างรัฐธรรมนูญมาตั้ง 2 ฉบับแล้ว

“เรื่องหน้าผมว่าไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ความมีวุฒิภาวะมีไหม”

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11523 มติชนรายวัน

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *