ภาพลักษณ์ในที่ทำงาน (2)
|ภาพลักษณ์ในที่ทำงาน (2)
มองมุมใหม่ : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2548
เนื้อหาในสัปดาห์นี้ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับภาพลักษณ์ในที่ทำงาน โดยนำมาจากงานวิจัยของ Laura Morgan Roberts ที่ชื่อ Changing Faces: Professional Image Construction in Diverse Organizational Settings ซึ่งทุกคนอยากจะให้มีภาพลักษณ์ในลักษณะที่ต้องการให้เป็น
แต่ในความเป็นจริง เรามักจะมีภาพลักษณ์ในสายตาเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ในลักษณะที่เราไม่ต้องการให้เป็น ซึ่งสาเหตุสำคัญนั้นอาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วส่งผลให้ชื่อเสียงภาพลักษณ์ของท่านเป็นไปตามนั้น หรือเกิดขึ้นเนื่องจากท่านถูกจัดกลุ่มเข้าไปในคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและภาพลักษณ์ของกลุ่มนั้นก็พลอยติดตัวท่านมาด้วย
ในสัปดาห์นี้เราคงจะมาตอบคำถามสำคัญว่า แล้วเราจะบริหารหรือสร้างภาพลักษณ์ในที่ทำงานได้อย่างไร
การบริหารภาพลักษณ์ของเราเป็นปกติอยู่แล้วแต่มักจะเป็นไปโดยที่ไม่รู้ตัว ผ่านพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย ความประพฤติ การทำงาน หรือการพูดจา (ระดับน้ำเสียง ความเร็วในการพูด ความเปิดเผยในการพูด)
ผมมีเพื่อนที่มีลักษณะการพูดแตกต่างกันพอสมควร คนหนึ่งพูดช้า เนิบนาบ ดูเหมือนว่ากว่าจะพูดแต่ละครั้งก็ผ่านการไตร่ตรอง ในขณะที่อีกคนก็พูดเร็วจนหายใจไม่ทัน จนถูกแซวเป็นประจำว่า หายใจทางผิวหนัง ซึ่งสิ่งที่พบก็คือภาพลักษณ์ของทั้งสองคนในสายตาและการรับรู้ของผู้อื่นก็จะสะท้อนมาจากความเร็วในการพูดเช่นเดียวกัน
คนที่พูดช้าก็จะถูกมองว่า มีความระมัดระวังในการพูด มีการไตร่ตรองก่อนพูด และเป็นคนใจเย็น แต่อีกคนที่พูดเร็วนั้นจะถูกรับรู้เลยว่าเป็นพวกใจร้อน
จริงๆ แล้ว ถ้าผู้อ่านสังเกตดูจะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูด ปฏิบัติ แสดงออก ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ล้วนแล้วแต่จะถูกรับรู้โดยคนรอบตัวถึงภาพลักษณ์ของเราทั้งสิ้น เรื่องบางเรื่องที่ไม่น่านำไปสู่ภาพลักษณ์ได้ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่คนรอบตัวเรารับรู้ถึงภาพลักษณ์ไม่ว่าจะเป็น การขับรถ (เจอผู้ที่ขับรถเร็วมาก กับขับรถใจเย็น ก็จะทำให้คนรับรู้ภาพลักษณ์ที่แตกต่างกัน) พฤติกรรมการกิน (กินมูมมาม กับกินเรียบร้อย)
การแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม (บางคนก็ขอให้ได้พูดและเพ้อเจ้อไปเรื่อยก็จะได้รับภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง แต่บางคนพูดจาดูดีมีเหตุมีผล แต่เอาแต่พูดไม่เคยทำสิ่งใดให้สำเร็จ ก็จะได้รับภาพลักษณ์ติดตัวไปอีกลักษณะหนึ่ง) หรือแม้กระทั่ง การเดิน (เดินอย่างรวดเร็วที่เราเรียกว่าเดินไล่ควาย ก็จะถูกมองว่าใจร้อน หรือการเดินแบบไร้จุดมุ่งหมาย ก็จะถูกมองว่าเป็นพวกขาดการวางแผนล่วงหน้าที่ดี)
นอกจากภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวดังตัวอย่างข้างต้นแล้ว เรายังบริหารและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ โดยพยายามนำเสนอในสิ่งที่ดีเด่นให้ผู้อื่นรับรู้ โดยการนำเสนอนี้อาจจะเป็นโดยอาศัยคำพูดหรือการแสดงออกก็ได้
วิธีการนี้ก็เจอบ่อย นั่นคือพยายามกล่าวถึงหรือนำเสนอในด้านที่ดีของตนเอง เพื่อให้บุคคลรอบข้างรับรู้ และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีเหล่านั้นขึ้นมาในใจ การบริหารภาพลักษณ์แบบนี้ ถ้าทำไม่ดีก็น่าเกลียดเหมือนกัน เพราะจะมีความใกล้เคียงกับพวกขี้โม้ ชอบคุยโอ้อวดตนเอง แต่ถ้าจะให้ดีก็ต้องมีการนำเสนอคุณสมบัติในด้านดีของตน หรือกลุ่มตนเอง เข้าไปในบทสนทนา โดยที่คู่สนทนาไม่รู้ตัว แล้วค่อยๆ ปลูกฝังให้ผู้อื่นรับทราบถึงด้านที่ดี ซึ่งนอกเหนือจากการพูดแล้ว ยังสามารถทำได้ โดยการค่อยๆ แสดงพฤติกรรมในด้านเด่นของตนเอง ให้ผู้อื่นเห็นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการรับรู้
ในขณะที่ถ้าตัวท่านเองมาจากกลุ่มที่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี และไม่ต้องการให้ตัวท่านมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเหมือนกลุ่ม (พวกเด็กเรียน ก็จะเอาแต่เรียนและเข้าห้องสมุดอย่างเดียว ทำกิจกรรมไม่เป็น) ท่านก็ต้องพยายามทำให้การรับรู้ในตัวท่านของบุคคลรอบข้าง เชื่อมโยงระหว่างตัวท่านและกลุ่มดังกล่าวให้น้อยที่สุด และพยายามที่จะโยงตัวท่านเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่มีภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งพฤติกรรมในลักษณะนี้เราก็จะเจอกันบ่อย หลายคนพยายามเปลี่ยนกลุ่มสังกัดในที่ทำงานหรือในสถาบันการศึกษา เพียงเพื่อทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น
ในทางปฏิบัติแล้วเราก็ไม่ได้บริหารภาพลักษณ์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอไป สุดแท้แต่วัตถุประสงค์ในขณะนั้นนะครับ
เช่น พนักงานบางคนอาจจะเข้าไปในกลุ่มที่ขยันทำงานในที่ทำงาน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย แต่เมื่อพ้นเวลางานแล้วกลับเข้ากลุ่มพวกชอบเที่ยว เพื่อสร้างสังคมให้กว้างไว้ ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไร บุคคลผู้นี้ก็จะได้ภาพลักษณ์ที่ดีในเวลาทำงาน และในหมู่เพื่อนฝูงแล้วก็จะเป็นประเภทขาเที่ยว ขาลุย
ผู้อ่านคงเห็นพ้องว่า ถ้าเราสามารถบริหารภาพลักษณ์ในที่ทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้ย่อมนำไปสู่ข้อดีหลายๆ ประการ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าบริหารภาพลักษณ์ได้ไม่ดี ก็จะเป็นผลเสียร้ายแรงทีเดียว โดยเฉพาะจะถูกตราหน้าว่า เป็นคนหลอกลวงและผลเสียก็จะมหาศาล ถือว่าเป็นดาบสองคม ที่ต้องระวังพอสมควรนะครับ
เพราะอย่างที่ได้ทิ้งท้ายไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว ลองสำรวจภาพลักษณ์ของท่านดูว่าเป็นอย่างไร และท่านอาจจะลองสำรวจลึกลงไปอีกว่า พฤติกรรมหรือการแสดงออกต่างๆ ของท่านนั้น นำไปสู่ภาพลักษณ์อย่างไร?