สุขภาพ : ทำอย่างไรเมื่อเลือดออกง่าย หยุดยาก
สุขภาพ : ทำอย่างไรเมื่อเลือดออกง่าย หยุดยาก
ในคนปกติเมื่อเกิดอุบัติเหตุแขนขาถลอก หรือมีดบาดเพียงเล็กน้อยยังรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งหากมีเลือดไหลออกมาด้วยก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องทรมานกับอาการที่เรียกว่า โรคเลือดออกง่ายหยุดยาก หรือโรคฮีโมฟีเลีย ซึ่งหากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอุบัติเหตุ หรือมีบาดแผลเกิดขึ้น พวกเขาไม่เพียงแต่จะเจ็บปวดมากกว่าคนปกติ แต่ทุกวินาทีที่มีเลือดไหลสำหรับผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียแล้ว นั่นอาจหมายถึง ความเป็นความตายของชีวิตเลยทีเดียว
ข้อมูลจาก ศ.พญ.อำไพวรรณ จวนสัมฤทธิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยโลหิตวิทยาและโรคมะเร็งในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า โรคฮีโมฟีเลีย เป็นโรคที่เป็นแต่กำเนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูกชาย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่า ร้อยละ 50 ของจำนวนผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียไม่เคยมีประวัติโรคนี้ในครอบครัวมาก่อน
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการพูดคุยถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางโมเลกุลของผู้ป่วยฮีโมฟีเลียในประเทศไทยเป็นอย่างไร เนื่องจากผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียในแต่ละประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทางโมเลกุลที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ สารกำหนดพันธุกรรมของคนในแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งพบว่า ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียเอชนิดรุนแรง เกิดจากการที่สารพันธุกรรมมีการตีลังกากันกลับหัวท้ายกันหรือมีการกลายพันธุ์
ซึ่งปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้าสามารถตรวจพบตรงนี้ได้แล้ว และยังตรวจพบความผิดปกติของสารพันธุกรรมในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย เพื่อให้การวินิจฉัยหญิงที่มียีนโรคฮีโมฟีเลียแฝงจากครอบครัวผู้ป่วย และให้คำแนะนำปรึกษาทางพันธุกรรมไม่ให้มีผู้ป่วยรายใหม่ในครอบ ครัวนั้นๆ อีกต่อไป
อาการของโรคฮีโมฟีเลีย คือ จะเป็นจ้ำเขียว และมีอาการเลือดออกภายในข้อต่างๆ ของร่างกาย เมื่อเริ่มมีอาการผู้ป่วยจะมีอาการปวดตึงขัดบริเวณกล้ามเนื้อและข้อ อาการจะรุนแรงมากขึ้น มีข้อติด กล้ามเนื้อลีบ หรือเกิดภาวะข้อพิการได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
สาเหตุของโรคฮีโมฟีเลีย เกิดจากภาวะขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่เรียกว่าแฟคเตอร์ 8 หรือ แฟคเตอร์ 9 มาแต่กำเนิด ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ต้องให้แฟคเตอร์เข้มข้นทดแทนปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่ผู้ป่วยขาดไป ซึ่งแฟคเตอร์เข้มข้นที่ใช้ฉีดให้ผู้ป่วยฮีโมฟีเลียในประเทศไทยปัจจุบันนี้ เป็นแฟคเตอร์เข้มข้นที่สกัดจากพลาสมาของผู้บริจาคเลือดและผ่านกระบวนการทำลายเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคเอดส์ โรคตับอักเสบ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง
และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดสรรเงินงบประมาณ ปีละ 9,000 บาท/ราย สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี และ 120,000 บาท/ราย สำหรับเด็กอายุมากกว่า 10 ปี หรือผู้ใหญ่ เพื่อให้โรงพยาบาลจัดซื้อแฟคเตอร์เข้มข้นรักษาเมื่อเริ่มมีอาการเลือดออกที่บ้านหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน สำหรับผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียทุกรายที่ลงทะเบียนที่หน่วยบริการรับการส่งต่อเฉพาะโรคฮีโมฟีเลียในโรงพยาบาล 38 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2549
รศ.นพ.พันธุ์เทพ อังชัยสุขศิริ หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า การเกิดภาวะมีสารต้านแฟคเตอร์นี้ จะพบประมาณร้อยละ 20 – 30 ในผู้ป่วยฮีโมฟีเลียชนิดรุนแรงมาก และมักจะเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับแฟคเตอร์ในช่วง 50 ครั้งแรก โดยผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองต่อแฟคเตอร์เข้มข้นที่ได้รับ เนื่องจากร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานแฟคเตอร์ขึ้น ทำให้เลือดไม่หยุดไหล ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้สูง หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้องและอย่างทันท่วงที ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาแฟคเตอร์เข้มข้นชนิดพิเศษในการเร่งการแข็งตัวของเลือดเพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล
ดังนั้น ผู้ป่วยและครอบครัวควรใส่ใจและสังเกตอาการอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเมื่อฉีดแฟคเตอร์เข้มข้นเข้าไปแล้ว แต่เลือดยังไม่หยุดไหลเหมือนที่ผ่านมา ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็คหาภาวะการเกิดสารต้านแฟคเตอร์และได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
ซึ่งปัจจัยการเกิดสารต้านแฟคเตอร์นั้นขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ ประวัติครอบครัว ยีนที่ผิดปกติของผู้ป่วยแต่ละราย และปริมาณแฟคเตอร์ที่ผู้ป่วยได้รับ ผู้ป่วยจึงควรระมัดระวังตนเองไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง ถึงขั้นต้องให้แฟคเตอร์ในปริมาณมากและเป็นเวลานานติดต่อกัน เช่น การผ่าตัด อย่างไรก็ดี โดยปกติแพทย์จะตรวจร่างกายและเจาะเลือดผู้ป่วย เพื่อติดตามภาวะการเกิดสารต้านแฟคเตอร์ทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อให้การรักษาและกำจัดตัวต้านแฟคเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์