ตาบอดทำให้โครงสร้างสมองเปลี่ยน
ตาบอดทำให้โครงสร้างสมองเปลี่ยน
Satan_Doe – 23 พฤศจิกายน 2009
เป็น ที่รู้กันดีว่าคนตาบอดมักจะมีประสาทสัมผัสส่วนอื่นที่ดีขึ้น เพื่อช่วยให้ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ ล่าสุด นักวิจัยจากภาควิชาประสาทวิทยาของยูซีแอลเอยังพบว่าคนที่ตาบอดนั้นจะมีโครง สร้างสมองที่แตกต่างกับคนปกติอีกด้วย
นา ตาชา เลอโปเร่ นักศึกษาปริญญาโทแห่งห้องปฏิบัติการภาพประสาท ยูซีแอลเอ และทีมงานพบว่า สำหรับคนตาบอดนั้นจะมีส่วนรับรู้ภาพในสมองที่เล็กกว่าคนตาปกติ อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ไม่ใช่ส่วนรับรู้ภาพจะมีลักษณะตรงกันข้าม คือมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าคนตาปกติด้วย
“การ ศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสมองมีความยืดหยุ่น และมีความสามารถที่จะปรับโครงสร้างใหม่หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในที่นี้คือระบบการมองเห็นมีความเปลี่ยนแปลงไป คือสูญเสียไปเลยนั่นเอง” เลอโปเร่กล่าว
“ใน ทางตรงกันข้าม สมองจะชดเชยประสาทสัมผัสส่วนอื่นของคนที่ตาบอดทีหลังให้ด้วย ทั้งนี้ คนที่ตาบอดตั้งแต่เด็กนั้นจะยิ่งมีลักษณะอย่างที่ว่ามานี้อย่างชัดเจนเลย เนื่องจากในช่วงที่กำลังเจริญเติบโตนั้น สมองจะยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้มากกว่าช่วงที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
นักวิจัยถ่ายภาพระบบรับความรู้สึกของสมองด้วยวิธีที่เรียกว่า tensor-based morphometry ซึ่งจะสามารถวัดปริมตรของสมองได้ละเอียดมาก จากนั้นจะนำภาพที่ได้ไปตรวจสอบเพื่อดูความแตกต่างระหว่างบุคคล 3 กลุ่มต่อไปนี้คือ บุคคลที่ตาบอดก่อนอายุ 5 ขวบ, บุคคลที่ตาบอดหลังอายุ 14 ปี และบุคคลที่มีสายตาปกติซึ่งเป็นตัวแปรควบคุม เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่ตาบอดแล้วพบว่า ส่วนที่เสียไปและส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในเนื้อสมองนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้น เริ่มสูญเสียการมองเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่
โดย คนที่ตาบอดตั้งแต่เด็กนั้นจะแตกต่างกับกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยสำคัญบริเวณ คอร์ปัสคัลโลซัมของสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยในการส่งผ่านภาพระหว่างสมองสองซีก นักวิจัยชี้ว่าอาจะเกิดจากจำนวนของไมอีลิเนชั่นลดลงเนื่องจากไม่มีการรับภาพ เข้ามา โดยไมอีลินนี้คือกลุ่มก้อนไขมันที่ห่อหุ้มระบบประสาทส่วนนี้อยู่ อันจะช่วยให้การสื่อสารภาพเร็วขึ้นและเป็นส่วนที่พัฒนาได้เร็วในช่วงที่ยัง เป็นเด็ก ถ้าสูญเสียการมองเห็นเมื่อโตขึ้นเต็มที่แล้วนั้น การเติบโตของไมอีลินนี้จะถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น โครงสร้างของคอร์ปัสคัลโลซัมนี้จึงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักเมื่อสูญเสียการ รับรู้ภาพไปแล้วในช่วงที่โตเต็มที่
แปลจาก : http://www.sciencedaily.com/releases/2009/11/091118143259.htm