กินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
กินผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
• อาหาร
กินให้เหมาะสมควบออกกำลังกาย
เลือกกินผลไม้ให้หลากหลาย และต้องคำนึงถึงปริมาณและสัดส่วนที่ควรได้รับภายใน 1 วันด้วย จึงจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและพลังงานที่พอเหมาะ
ไม่ควรกินผลไม้ชนิดเดียวกันซ้ำไปซ้ำมา เพราะอาจมีปัญหาการได้รับสารเคมีตกค้าง เช่น สารเคมีฆ่าแมลงจากผลไม้ชนิดนั้นๆ ทำให้เกิดการสะสมความเป็นพิษจากการกินผลไม้ชนิดนั้นได้
ผลไม้ในประเทศไทยมีมากมายหลายชนิดแตกต่างกันไปตามฤดูกาล การกินให้มีความหลากหลายและให้เหมาะสมกับฤดูกาล นอกจากจะช่วยลดสารพิษที่อาจปนเปื้อนกับผลไม้แล้ว ผลไม้ที่ซื้อตามฤดูกาลยังมีราคาถูกเป็นการช่วยประหยัดเงินได้อีกด้วย
เมื่อซื้อผลไม้มาแล้วจะต้องล้างให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลายๆ ครั้ง และถ้าเป็นผลไม้ที่กินทั้งผล (เช่น องุ่น) ซึ่งอาจมีสารเคมีฆ่าแมลงที่ติดมาค่อนข้างมาก นอกจากล้างให้สะอาดด้วยน้ำไหลผ่านหลายๆ ครั้งแล้ว อาจต้องแช่ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงจะช่วยลดปริมาณของสารเคมีที่ตกค้างอยู่ได้
ส่วนแตงโมจะต้องล้างทำความสะอาดเปลือกก่อนผ่าทุกครั้ง เพราะอาจปนเปื้อนสารเคมีและแบคทีเรียที่ติดมากับดิน การกินแตงโมก็ควรนับสัดส่วนและไม่ต้องกินทุกวัน เนื่องจากอาจมีสารเคมีตกค้าง ที่ใช้พ่นกันศัตรูพืชในเนื้อแตงโมได้
ใน 1 วันควรกินผลไม้ให้หลากหลายและได้สัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ และเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นจะต้องกินควบคู่ไปกับการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย
การเก็บรักษาผลไม้ หลักง่ายๆ คือไม่ซื้อผลไม้มาเก็บทิ้งไว้ในตู้เย็นปริมาณมากๆ เพื่อกินหลายๆ วัน เพราะนอกจากความสดใหม่ที่เหลือน้อยลงของผลไม้จากการขนส่งแล้ว การซื้อผลไม้มาเก็บทีละมากๆ เป็นเวลานานๆ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ลดลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะวิตามินซีจะถูกทำลายไปได้มากที่สุดตามระยะเวลาที่ผ่านไป ถึงแม้จะเก็บรักษาในตู้เย็นก็ตาม
การซื้อผลไม้มากักตุนไว้ครั้งละมากๆ ยังอาจมีผลทำให้มีการเพิ่มน้ำหนักตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการกินผลไม้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ควร เพราะความเสียดายกลัวว่าผลไม้จะเน่าเสีย ขณะที่สัดส่วนอาหารชนิดอื่นๆ ก็อาจกินเท่าเดิมหรือเพิ่มปริมาณขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายใช้พลังงานที่ได้เกินมาไม่หมด จึงเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย นี่เป็นสาเหตุหลักที่มักมีคำถามว่าการกินผลไม้ทำไมจึงทำให้อ้วนได้
ถ้ามีความจำเป็น (เช่น บ้านอยู่ไกลตลาด) สามารถซื้อผลไม้เก็บไว้กินได้ 2 ถึง 3 วัน โดยเก็บผลไม้ไว้ในตู้เย็นและเวลาจะกินให้แบ่งออกมากินเฉพาะปริมาณเท่าที่ต้องการเท่านั้น อย่านำออกมาทั้งหมด เพราะการที่ผลไม้ถูกเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งจะส่งผลเสียต่อสารอาหารในผลไม้โดยเฉพาะวิตามินซี ดังนั้นเมื่อซื้อผลไม้มาแล้ว ควรแบ่งเก็บไว้เป็นส่วนๆ หรือเท่ากับจำนวนที่จะกินของตัวเองหรือของสมาชิกในครอบครัวในแต่ละมื้อ
การเลือกซื้อผลไม้ ควรซื้อในปริมาณที่พอกิน อย่าซื้อมาที่ละมากๆ เพราะคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป การกินผลไม้ให้หลากหลาย อย่ากินซ้ำซากจำเจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสารเคมีตกค้าง ซึ่งร่างกายอาจขับสารพิษเหล่านั้นได้ไม่หมด สิ่งที่ตามมาคืออาจเกิดการเจ็บป่วยจากสารพิษเหล่านี้ได้ (เช่น โรคมะเร็ง)
ผู้ป่วยหรือคนที่มีน้ำหนักตัวเกินให้ระวังผลไม้ที่หวานจัด ต้องไม่กินในปริมาณที่มากและควรนับส่วนของผลไม้ที่ตัวเองสามารถกินได้ หรือถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาล (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือแม้แต่ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน) ควรกินผลไม้ที่หวานจัดเพียง 1 ส่วนต่อวันเท่านั้น ผลไม้ดังกล่าวได้แก่ กล้วยสุก ขนุน น้อยหน่าหนัง มะม่วงสุก ลองกอง ลิ้นจี่ เงาะ แตงโม ส้มโอ องุ่น เป็นต้น ส่วนมื้ออื่นๆ ให้กินผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ และแก้วมังกร เป็นต้น
สำหรับผลไม้ที่อาจต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ทุเรียน เพราะถึงแม้ทุเรียนจะมีน้ำตาลอยู่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น คือประมาณ 7 กรัมต่อน้ำหนักส่วนที่กินได้ 100 กรัม และมีเส้นใยอาหารค่อนข้างดีก็ตาม (3.4-5.4 กรัมต่อ 100 กรัม) แต่ทุเรียนจะมีคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งอยู่มาก ทำให้ 1 ส่วนของทุเรียนเท่ากับ 1 เม็ดเล็กเท่านั้น ซึ่งหมายถึงว่ากินทุเรียน 1 เม็ด ก็ได้พลังงาน 60 กิโลแคลอรีแล้ว
ดังนั้นการกินทุเรียนโดยไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่ม คือกินให้อยู่ในจำนวนส่วนของผลไม้ที่ธงโภชนาการแนะนำให้บริโภคในแต่ละวันนั่นเอง
ที่มา: นิตยสารหมอชาวบ้าน กับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม