การเรียนรู้แบบ Brain-Based Learning (BBL) ตอน3
การเรียนรู้แบบ Brain-Based Learning (BBL) ตอน3
การเรียนรู้แบบ Brain-Based Learning (BBL) เป็นการนำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองไปใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์แต่ละช่วงวัย
สมองมนุษย์เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องใช้ในการเรียนรู้ ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมหาศาล เซลล์สมองจะถูกสร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ 3-6 เดือนแรก จนถึง1เดือนก่อนคลอด ช่วงนี้สมองบางส่วนที่ไม่จำเป็นจะถูกทำลายไปซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า “พรุนนิ่ง (Pruniny)” และจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเด็กเล็กและช่วงวัยรุ่น ทั้งนี้หลักการพัฒนาเซลล์สมองขึ้นอยู่กับ 2 ส่วน คือ
1.ธรรมชาติที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษได้แก่ พันธุกรรม
2.สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น อาหาร อารมณ์ การฝึกฝนใช้สมอง
จากการศึกษานักวิจัยพบว่าสมองมนุษย์นั้นยิ่งใช้มากก็ยิ่งแข็งแรก และหากส่วนไหน
ไม่ถูกใช้ก็จะตายไป โดยเชื่อว่าพื้นฐานมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพความเฉลียวฉลาด ที่สำคัญมี 8 อย่างสำหรับการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งจะแตกต่างกันไปตามสภาพการพัฒนาตั้งแต่เด็กเล็กจนเป็นผู้ใหญ่ ได้แก่
1.การเคลื่อนไหวและทำหน้าที่ของร่างกาย
2.ภาษาและการสื่อสาร
3.การคำนวณและตรรกะ
4.มิติสัมพันธ์และจินตนาการจากสิ่งที่มองเห็น
5.ดนตรีและจังหวะ
6.การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
7.การรู้จักตนเอง
8.ปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นการเลี้ยงดูอบรมเด็กอย่างมีทิศทางจึงเป็นสำคัญ ซึ่งต้องมีการฝึกฝนที่พอเหมาะตามศักยภาพและระบบการทำงานของสมอง นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงระยะที่สมองพัฒนาเต็มที่ จะช่วยให้โอกาสทองของการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยที่เปิดรับการเรียนรู้อย่างสูงสุด และสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ BBL คือ การเข้าใจถึงความแตกต่างของสมองแต่ละคนที่มีลักษณะเฉพาะตัว
สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่มีสมองปกติจะไม่สามารถเรียนรู้ได้หรือเรียกง่าย ๆ ว่า โง่มาแต่กำเนิด เพียงแต่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้จะดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและการจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่รอบตัว และช่วงที่สำคัญที่สุดของพัฒนาการพื้นฐานทางสมองมนุษย์ คือ ช่วงปฐมวัยจนถึงก่อนวัยรุ่นช่วงต้น อายุระหว่าง 0-10 ปี
นักการศึกษาพบว่าสมองมนุษย์สามารถทำงานพร้อมกัน 8 ระบบในลักษณะกระจายตัวเชื่อมดังนั้น สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้ภาษา สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณและตรรกะ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง ระยะและมิติ รวมถึงสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและจังหวะ สามารถทำงานและพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะลบล้างความเชื่อเดิมที่ว่าสมองมนุษย์ทำงานแบบแยกส่วน
ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานสมองตามแนวใหม่นี้ คือกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาการเรียนรู้ที่ได้รับการยกระดับและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่นเดียวกันประเทศไทยโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญ จึงได้มอบภาระหน้าที่หลักให้กับสถาบันวิทยาการการเรียนรู้(สวร.)เป็นองค์การมหาชน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง BRAIN-BASE LEARNING โดยการศึกษาศักยภาพของสมองของเด็กแต่ละวัย และนำผลการศึกษาที่ได้มาประมวลเป็นองค์ความรู้ที่จะขยายขอบข่ายการทำงานแบบบูรณาการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
แนวทางการจัดกระบวนการและสื่อการเรียนรู้แบบ BRAIN-BASE LEARNING
สำหรับโรงเรียน
1.จัดสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นความสนใจ กระตุ้นการเรียนรู้ เช่น อุปกรณ์ที่มีสี รูปทรง สถาปัตยกรรม สิ่งที่ผู้เรียนออกแบบกันเอง(ไม่ใช่ครูออกแบบให้) เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกมีส่วนร่วมและมีความเป็นเจ้าของ
2.สถานที่สำหรับการเรียนรู้เป็นกลุ่มร่วมกัน เช่นที่ว่าง ๆ สำหรับกลุ่มเล็ก ซุ้มไม้
โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ ปรับที่ว่างเป็นห้องนั่งเล่นที่กระตุ้นการมีปฏิสัมพันธ์ จัดสถานที่ที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เป็นกลุ่ม
3.จัดให้มีการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน มีการเคลื่อนไหวกระตุ้นสมองส่วนควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อกับสมองส่วนหน้า ให้สมองได้รับอากาศบริสุทธิ์
4.ทุกส่วนของโรงเรียนจัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรียนที่ไหนก็ได้ เช่น บริเวณเฉลียง ทางเชื่อมระหว่างตึก สถานที่สาธารณะ
5.เฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะชุมชนเมือง
6.จัดสถานที่หลากหลายที่มีรูปทรง สี แสง ช่อง รู
7.เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างหลากหลายจะกระตุ้นการทำงานของสมอง เช่น เวทีจัดนิทรรศการซึ่งควรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ
8.จัดให้มีวัสดุต่าง ๆ ที่กระตุ้นการเรียนรู้ พัฒนาการต่าง ๆของร่างกาย มากมายหลากหลายและสามารถนำมาจัดทำสื่อประกอบการเรียนรู้ที่มีความคิดใหม่ ๆ โดยมีลักษณะบูรณาการไม่แยกส่วนจุดมุ่งหมายหลักคือ เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่หลากหลาย
9.กระบวนการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เหมาะสมกับสมองของแต่ละคนและสภาวะที่
เปลี่ยนแปลงไป
10.จัดให้มีสถานที่สงบและสถานที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
11.จัดให้มีที่ส่วนตัว เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของตน จัดสถานที่
ส่วนตัวของตนและสามารถแสดงความคิด สร้างสรรค์ของตนได้อย่างอิสระ
12.ต้องหาวิธีที่จะให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้มากที่สุด สนามเด็กเล่นในชุมชน แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต นำเทคโนโลยี
การเรียนทางไกล ชุมชน ภาคธุรกิจ บ้าน ต้องนำเข้ามามีส่วนและเป็นทางเลือกในการเรียนรู้
สำหรับการจัดการศึกษาปฐมวัย ซึ่งถือว่าเป็นช่วงแรกของการเรียนรู้ทุกโรงเรียนสามารถทำแนวทางการจัดกระบวนการและสื่อการเรียนรู้แบบ BRAIN-BASE LEARNING ไปปรับใช้เตรียมการได้ จะเห็นว่าแนวทางหลายอย่างปฐมวัยจัดอยู่แล้ว คือ 6 กิจกรรมหลักในกิจกรรมประจำวัน ส่วนใหญ่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว ซึ่งผู้บริหาร ครู ผู้สอนควรส่งเสริมและเน้นให้จริงจัง เพราะเป็นนโยบายระดับชาติ
การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบ BBL
1.จัดตกต่างห้องเรียนให้มีสีเขียว เหลือง เป็นส่วนใหญ่
2.ห้องเรียนและบริเวณรอบๆห้องเรียนมีต้นไม้ร่มรื่น
3.จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมกัน กระตุ้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
4.จัดให้มีสถานที่ อุปกรณ์ต่าง ๆอยู่ในสภาพปลอดภัย
5.จัดให้มีการเรียนรู้จากของจริง ประสบการณ์ตรงโดยผ่านประสาททั้ง 5
(การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้ชิม การสัมผัส)
6.จัดให้เด็กได้ฟังเพลงกล่อมเด็ก เพลงคลาสสิค ฟังนิทาน อ่านหนังสือให้เด็กฟัง
7.จัดให้เด็กได้เล่น ฝึกกับเครื่องเล่นที่มีเสียงดนตรี อย่างสม่ำเสมอ
8.จัดให้เด็กได้สัมผัสกับศิลปะ
9.จัดให้มีของเล่นที่มีรูปทรง สี อย่างหลากหลาย
10.จัดให้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายทุกวัน
11.เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เช่น การจัดห้องเรียน จัดนิทรรศการ ฯลฯ
12.การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อยๆจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมอง
13.จัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ยืดหยุ่นตามความแตกต่างของผู้เรียน ยาก ง่าย ตามสภาพของผู้เรียน
14.จัดให้มีที่เก็บอุปกรณ์และผลงานเป็นส่วนตัวของเด็กแต่ละคน
15.จัดให้มีกิจกรรมร่วมกับชุมชน เช่น เชิญเป็นวิทยากร ร่วมกิจกรรมวันสำคัญของชุมชน ฯลฯ วางแผนใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้หลากหลาย
พึงระลึกไว้เสมอว่า การเข้าใจเรื่องสมอง การพัฒนาสมองถูกจังหวะวิธี ครู ผู้ปกครอง
ที่เข้าใจเด็กมีส่วนช่วยเด็ก ให้มีศักยภาพ มีความสามารถอย่างที่ควรจะเป็น ปัจจัยที่ช่วยพัฒนาสมอง คือ
1.ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด อบอุ่นกับผู้เลี้ยงดู
2.สิ่งแวดล้อมที่มีคนพูดคุยด้วย
3.มีโอกาสได้เล่น
4.มีการกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสม
สำหรับการจัดการศึกษาของประเทศไทย เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ต้องให้ความตระหนักและสนใจในเรื่องการทำงานของสมองให้มากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมาการจัดการศึกษา หรือการจัดกระบวนการเรียนรู้ไม่สอดคล้อง และที่สำคัญยังตรงกันข้ามเป็นปฏิปักษ์ต่อกลไกการทำงานของสมอง ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างและทำงานของสมองและการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนที่จัดทำอยู่ในปัจจุบันที่ยังพบอยู่
การเปรียบเทียบความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างการทำงานของสมองกับการจัดระบบการศึกษาที่ดำเนินการอยู่
การค้นพบเรื่องการทำงานของสมอง
1.วัยเด็กเล็กเป็นวัยที่สมองพัฒนาและเรียนรู้ได้มากที่สุด ทั้งยังสำคัญในแง่การสะสมข้อมูล
ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงกับข้อมูลประสบการณ์เก่าได้ดีขึ้น ในระดับที่สูงขึ้น
2.การที่เซลล์ใยประสาทของสมองของคนจะเชื่อมโยงได้ดี (ความพร้อมในการเรียนรู้) จะต้องมีสภาพแวดล้อมแบบปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่น เด็กเล็กได้รับการอุ้มกอด ฟังเพลง ฟังภาษาพูดคุย ได้เห็นภาพที่หลากหลายได้สัมผัส
ได้ชิม ได้เคลื่อนไหวได้สำรวจทดลองฯลฯ เด็กที่ได้รับแรงกระตุ้นภายนอกที่เหมาะสมอย่างหลากหลาย สมองจะยิ่งพัฒนามากขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากไม่มีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในทางใด การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทส่วนนั้น จะเหี่ยวแห้งตายไป (Use It Or Lose It)
3.ความฉลาดของมนุษย์เรามีหลายด้าน เช่น Howard Gardner เสนอว่ามีอย่างน้อย
8 ด้าน คือ1. ภาษา 2.ตรรกคณิตศาสตร์ 3.ความเข้าใจด้านสถานที่หรือระยะ/มิติของสิ่งต่างๆ
4.การเคลื่อนไหวทางร่างกาย 5. ดนตรี 6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 7. ความสามารถในการเข้าใจและพัฒนาตนเอง 8.การเข้าถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งความฉลาดทุกด้านมีความสัมพันธ์และช่วยส่งเสริมเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน
4.(สมอง)นักเรียนแต่ละคนมีท่วงทำนอง(สไตล์)การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน มีความพร้อมในเรื่องการเรียนรู้ในแต่ละด้านในแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน หากได้รับการสังเกตและส่งเสริมอย่างเหมาะสม พวกเขาก็จะเรียนรู้ได้ดี
5.การเรียนรู้ของสมองเชื่อมโยงกับอารมณ์ สมองจะเรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมทางอารมณ์ที่อบอุ่นเป็นมิตร ไม่รู้สึกว่าน่ากลัว มีการท้าทายให้อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ถึงกับเป็นความเครียด การบรรยายหรือการสื่อสารที่มีลักษณะเชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ผู้เรียนจดจำและเรียนรู้ได้ดีกว่าการบรรยายที่ไร้ความรู้สึก
6.สมองจะเรียนรู้ได้ดีหากผู้เรียนคิดว่าสิ่งนั้นสำคัญสำหรับการอยู่รอดของเขา(ทั้งทางกายภาพ อารมณ์ สังคมและทางเศรษฐกิจ)และอยู่ที่การสะสมประสบการณ์ข้อมูลความรู้มาตามลำดับ รวมทั้งการป้อนข้อมูล ที่ช่วยให้สมองสามารถเชื่อมโยงความหมายของความรู้ใหม่ กับความรู้เก่าที่มีอยู่หรือจากประสบการณ์ได้
7.สมองคนเราเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมภายนอกตลอดเวลา ทั้งจากครอบครัว ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด ชุมชน สื่อวิทยุโทรทัศน์ฯลฯทั้งสมองคนเรา เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตรวมทั้งผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
8.การดูแลและพัฒนาสมองของคนทั้งประเทศโดยเฉพาะวัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
ถึงวัย11ขวบและการให้การศึกษาแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมให้ช่วยดูแลเด็กและเยาวชน จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการมาตาม แก้ปัญหาเด็กมีปัญหาในภายหลังมาก
9.สมองของนักเรียนรุ่นปัจจุบันเป็นสมองที่แตกต่างไปจากสมองของคนรุ่นที่เป็นนักเรียนเมื่อ15-20 ปีที่แล้ว ชีวิตของพวกเขาเคลื่อนไหวเร็ว และอยู่ในวัฒนธรรมของสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ที่มีภาพและเสียงเข้ามาในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว และมากมายด้านอารมณ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทำให้พวกเขาพัฒนาการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาท
ที่เข้ากับการรับรู้สื่อแบบมัลติมีเดีย ที่เร้าอารมณ์มากกว่าการบอกเล่า อ่านและจินตนาการ
แบบเก่า
การจัดการศึกษาในโรงเรียนในปัจจุบัน
1.การจัดการศึกษาระดับก่อนประถมได้รับความสนใจน้อยที่สุด เช่น ไม่ถือเป็นภาคบังคับ
ได้งบประมาณน้อย จัดได้ไม่ทั่วถึง ใช้ครูที่ขาดความรู้ด้านการกระตุ้นเพื่อช่วยพัฒนาสมองเด็กเล็ก
2.การเลี้ยงเด็กเล็ก เน้นแต่เพียงการกินอิ่มนอนหลับ ปลอดภัยทางกายภาพ โดยผู้เลี้ยงที่ไม่มีความรู้เรื่องการพัฒนาของสมอง เด็กบางคนถูกเลี้ยงในศูนย์เลี้ยงเด็ก ที่คนดูแลมีความรู้น้อย เงินเดือนต่ำ ต้องดูแลเด็กจำนวนมาก แม้แต่การเรียนในระดับอนุบาล ส่วนใหญ่ครูก็มีความรู้น้อย สอนแต่ภาษาและคณิตศาสตร์เบื้องต้น มีส่วนน้อยที่เป็นโรงเรียนเตรียมความพร้อมสร้างบรรยากาศเรียนรู้ที่ดีและฝึกให้เด็กเล็กใช้สมองทุกด้าน
3.โรงเรียนส่วนใหญ่ เน้นการสอนและวัดผลเพียง2ด้าน คือ ภาษาและตรรกคณิตศาสตร์ ไม่ค่อยสนับสนุนให้นักเรียนมีความฉลาดอีก 6 ด้าน ที่สำคัญต่อการพัฒนาการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม นักเรียนที่เรียนรู้ 2 ด้านแรกได้ไม่ดี จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ฉลาด ความฉลาดด้านอื่น ๆของนักเรียนจำนวนมากไม่ได้รับการสังเกตและส่งเสริมพัฒนา โดยเฉพาะสิ่งที่อาจจะเรียกรวมได้ว่าเป็นความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และความฉลาดทางด้านจิตสำนึก (SQ) การสอนในระดับมัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยของไทยเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน แทนที่จะเปิดโอกาสให้สมองได้เรียนรู้สาขาวิชาอย่างหลากหลาย เหมือนในสถาบันการศึกษาที่ก้าวหน้าทางการศึกษามากกว่า
4.การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนจัดแบบเดียวกันสำหรับทุกคนในห้องเรียน โดยใช้อายุและการสอบเลื่อนชั้นเป็นเกณฑ์ ห้องเรียนมักใหญ่ มีนักเรียนมาก(30-50คน)ครูไม่อาจสังเกตลักษณะเฉพาะของแต่ละคนได้ หรือครูที่ไม่เข้าใจว่านักเรียนมีสไตล์การเรียนรู้และความพร้อมที่ต่างกัน ก็จะตัดสินแบบหยาบ ๆ ว่าคนที่เรียนตามไม่ทันเพื่อน ทำคะแนนสู้เพื่อนไม่ได้คือ คนโง่ นักเรียนคนนั้นก็จะถูกทำลายความภาคภูมิใจในตัวเอง(Self Esteem)ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
5.ครูแบบเก่า ยังสอนแบบเน้นวินัยแบบทหาร มีการประณาม ดุด่า ลงโทษ เฆี่ยนตี การสร้างบรรยากาศแข่งขัน แบบทำให้นักเรียนเครียดการสอนมักเคร่งเครียดหรือแห้งแล้ง
6.การสอนในระบบโรงเรียน จะสอนตามหลักสูตรตำรา ความรู้ความเข้าใจของผู้สอนมากกว่าที่จะเชื่อมโยงกับความสนใจ ความรู้เดิมของนักเรียน มักเป็นการสอนแบบบรรยายและสอนให้ท่องจำเป็นส่วน ๆ แบบไม่เชื่อมโยงกับความสนใจ ความรู้เดิม ไม่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชีวิตจริง ทำให้การสอนเป็นเรื่องน่าเบื่อ จดจำและเข้าใจได้ยาก
7. การจัดการศึกษากว่าร้อยละ 90 ของงบประมาณและบุคลากร เน้นแต่เรื่องการศึกษาในระบบโรงเรียนส่วนการพัฒนานอกระบบโรงเรียนและตามอัธยาศัยยังมีน้อยทั้งปริมาณและคุณภาพ บางครั้งก็พยายามลอกแบบการศึกษาในระบบ คือ เพื่อการสอบเทียบวุฒิตามระบบโรงเรียน ส่วนวิทยุโทรทัศน์ สื่อต่างๆ ใช้เพื่อความบันเทิง(สำหรับคนระดับการศึกษาค่อนข้างต่ำ)และการค้า ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทำให้เกิดผลลบ ในการสร้างค่านิยมบริโภค เสพสุขสุด เห็นแก่ตัวรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วย
8.การจัดระบบการศึกษา รอให้คนมีปัญหาแล้วถึงมาตามแก้ เช่น เด็กที่เรียนได้ช้าก็มาสอนเสริม สอนกวดวิชา เด็กที่มีปัญหาเฉพาะทาง เช่น ปัญญาอ่อน ออทิสติก ก็ต้องลงทุนสร้างครูพิเศษเฉพาะทาง เด็กเกเร ก็ต้องลงทุนสร้างนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ตำรวจ ฯลฯ มาตามแก้ไข แทนที่จะลงทุนป้องกันตั้งแต่ต้นทาง
9.การสอนที่เน้นการบรรยาย เพื่อจำข้อมูลไปสอบโดยไม่มีสื่อภาพ ที่ช่วยให้เข้าใจและจำได้ง่ายและไม่มีการออกไปสัมผัสของจริง กลายเป็นวิธีการเรียนรู้ที่แห้งแล้งน่าเบื่อจำได้ยาก เชื่อมโยงทำความเข้าใจยาก