การฝังทรายเพื่อการบำบัดโรค

การฝังทรายเพื่อการบำบัดโรค
โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ เรียบเรียงโดย ปุญโญ มีบรรจง

เมื่อ 4,600 ล้านปีก่อนนี้ในขณะที่โลกกำลังถือกำเนิดจากการจับตัวกันของฝุ่นละอองในก๊าซร้อนที่อยู่รอบดวงอาทิตย์ แรงดึงดูด แบบโน้มถ่วง ได้ทำให้เม็ดฝุ่นเกาะตัวรวมกันมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ และเมื่อเม็ดฝุ่นที่มีขนาดใหญ่ชนกันปะทะกัน ความร้อนที่เกิดจาก การปะทะกันอย่างรุนแรงได้ทำให้มันหลอมรวมกันจนมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ ตามลำดับ องค์ประกอบส่วนที่เป็นเหล็กซึ่งมีความหนาแน่นสูง ก็จะจมตัวลงไปรวมกันที่แกน การสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีในโลกและความดันที่มากมหาศาลได้ทำให้แกนมีอุณหภูมิสูง จนแกนส่วนนอกมีสภาพเป็นของเหลว และแกนส่วนในมีสภาพเป็นของแข็ง และเมื่อโลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา การหมุนของโลกทำให้เหล็กเหลวในบริเวณแกนส่วนนอกไหลวนไปมา ด้วย และการไหลวนของเหล็กเหลวนี้เองที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า คือสาเหตุ ที่ทำให้โลกมี สนามแม่เหล็ก ในตัว

และถึงแม้ส่วนที่เป็นแกนกลางของโลกจะอยู่ไกลจากมนุษย์ถึง 2,800 กิโลเมตรก็ตาม แต่มันก็มีอิทธิพลต่อมนุษยชาติมาก เพราะการไหล ของเหล็กเหลวที่อยู่ในบริเวณแกนส่วนนอกทำให้โลกมีสนามแม่เหล็กที่สามารถ ปกป้องมิให้อนุภาคคอสมิกจากอวกาศหรือ ลมสุริยะจาก ดวงอาทิตย์พุ่งมาทำร้ายชีวิตทุกชนิดบนโลกได้ นอกจากนี้ลักษณะการไหลของ ของเหลวส่วนนี้ก็ยังมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของทวีปที่ผิวโลก การระเบิดของภูเขาไฟและความรุนแรงของเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย

โลกมิใช่เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวเท่านั้นที่มีแกนกลางเป็นเหล็กกลม ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพุธ ก็มีแกนกลางที่เป็นเหล็กเช่นกัน แต่ก็มีเฉพาะโลกกับดาวพุธเท่านั้นที่มีสนามแม่เหล็กในตัว ทั้งนี้เพราะโลกกับดาวพุธมีแกนส่วนนอกที่เป็นเหล็กเหลว ซึ่งการไหลหมุนวน ของเหล็กเหลว นี้เองที่ทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก แต่ลักษณะการไหลของเหล็กเหลวจะเป็นรูปแบบใด จึงสามารถทำให้ขั้วแม่เหล็กโลก กลับทิศได้ในทุก 2,000-3,000 ปีนั้น เรายังไม่มีคำตอบ

โลกหมุนรอบตัวเองเร็วเท่าไหร่ ?
ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง 360 องศา ใช้เวลา 24 ชั่วโมง หรือ 15 องศา ใน 1 ชั่วโมง จะพบว่าในแต่ละพื้นที่นั้น แตกต่างกันอย่างชัดเจน

บริเวณเส้นศูนย์สูตร ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกเท่ากับ 1,700 กิโลเมตร / ชั่วโมง
บริเวณละติจูดที่ 60 องศา ความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกจะมีค่าประมาณ 850 กิโลเมตร / ชั่วโมง หรือประมาณครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ศูนย์สูตร

บริเวณขั้วโลก ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกมีค่าเป็นศูนย์

ผลจากการที่อัตราความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกต่างกัน จะมีผลตามมาที่สำคัญ คือ แรงเหวี่ยงของโลกมีผลต่อน้ำหนักของวัตถุ เพราะเป็นแรงหนีศูนย์กลาง และมีผลต่อทิศทางของลมและกระแสน้ำ โดยทิศทางของลมและกระแสน้ำบริเวณขั้วโลกเหนือจะเบนไปทางขวามือ ส่วนซีกโลกใต้จะเบนไปทางซ้ายมือ เพราะโลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก

เพราะฉะนั้นเราดำรงชีวิตอยู่บนผิวโลก โดยไม่รู้สึกเลยว่า โลกหมุน ดูคล้ายกับว่า โลกหยุดนิ่ง แต่ในขณะเดียวกันโลกหมุนอย่างสม่ำเสมอรอบแกนของตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ที่เราไม่รู้สึกก็เพราะว่าตัวเราเคลื่อนที่ตามผิวโลกไปด้วย ขณะเดียวกันโลกหมุน อากาศที่ล้อมรอบตัวก็เคลื่อนที่ไปด้วยเช่นกัน

การหมุนของโลกทำให้เกิด กลางวันและกลางคืน
บนโลกเรานี้ เราจะพบทั้งความสว่างและความมืดทุก 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองครบหนึ่งรอบ

การฝังทราย ช่วยบำบัดร่างกายได้อย่างไร แต่กระนั้นการที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการหมุนรอบตัวเองของโลก ว่าเป็นเรื่องของกลางวันและกลางคืน และมีกระแสแม่เหล็กที่เกิดขึ้น จนทำให้ลืมไปว่า “ มนุษย์เรามีความเร็วมากกว่าความเร็วโลกหมุนรอบตัว ”

แต่ในความเร็วที่เราเร็วเกิน ในอัตราเร่งที่โลกหมุนรอบตัวเอง จากเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เราคิดอย่างต่อเนื่อง และต้องเผชิญกับแรงกระตุ้นมากมาย ไม่ว่ากระแสโลหิตของเราก็ดี ความเร่งโดยกระแสจิตก็ดี หรือข้อมูลมากมายที่เราได้รับมาในแต่ละวันก็ดี ก็จะเปลี่ยนทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกอาทิตย์

นั่นทำให้ร่างกายของมนุษย์เรา เกิดสนามแม่เหล็กที่มีแรงเสียดทานอย่างรุนแรงรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดการเผาผลาญในร่างกายเราสูงมาก และก็จะเกิดอาการที่แสดงถึงความเสื่อม และค่อยๆ สะสม เมื่อนานวันเข้าของเสียที่สะสมนั้นก็จะมากขึ้น และสุดท้ายก็จะเกิด “ ขี้เถ้า ” หรือ ก้อนตะกอน

ขี้เถ้า ที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญมีมากๆ ขึ้นก็จะเกิดอาการ “ ปวดข้อ ปวดเข่า หมอนรองกระดูกเคลื่อน อัลไซเมอร์ อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ ” และอาจก่อตัวเป็น เซลล์มะเร็ง

การฝังทรายช่วยได้ในการปรับระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้กระแสโลหิตมีการไหลเวียนดีขึ้น การขับของเสียในที่อยู่ในรูปเหงื่อมีมากขึ้น และช่วยสมดุลของชีวภาพ และเพิ่มศักยภาพในร่างกาย โดยการเปลี่ยนรูปของเสียที่เกิดขึ้นให้เป็นพลังงาน และช่วยสร้างเซลล์ใหม่ได้ทันทีที่เซลล์ตายได้ถูกขับทิ้ง

ดังนั้น ฝังทราย เราจะรู้สึกได้เลยว่าร่างกายจะค่อย ๆ ปรับสมดุลในระดับของกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะมีเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ เพราะกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในร่างกาย จะไม่มีใครรู้นอกจากตัวท่านกับกระแสการหมุนเวียนของโลก

การฝังทรายจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้อายุของท่านยืนขึ้น และทำให้เซลล์ของท่านมีกำลังเพียงพอต่อการต่อสู้ในวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พลังงานของมนุษย์ ในหน่วย c.g.s
คำนวณดังนี้
น้ำหนักตัว : กรัม
ระยะทางเดิน : ซม.
เวลา : วินาที

น้ำหนักตัวคน 46 กก x 1 , 000 กรัม = 4600 กรัม
ระยะทางเดิน 1000 ม. X 1000 ซม. = 1,000,000 ซม.
ในระยะเวลา 1 ชั่วโมง x (60 x60 ) = 3,600 วินาที

ซึ่งนั่นก็คือ พลังงานจลน์ใน 1 คน มีค่า = 16 , 560 , 000 , 000 , 000 c.g.s

ซึ่งนี้มันหมายถึงตัวเลขที่ไม่น่าจะไปนั่งนับได้ เพราะมนุษย์อยู่ในกระแสของความคิด ซึ่งเป็นพลังงานจลน์ที่คำนวณไม่ได้ และควบคุมไม่ได้ เพราะอำนาจของความคิดที่คิดไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น การหาเทคนิคมาหยุดความคิด และสิ่งที่มากระทบที่หยุดเผาผลาญตนเองค่อนข้างจะลำบากมาก ในการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว

ดังนั้นมันเป็นความจริงที่มนุษย์จะหลงลืมตนเอง และลืมคำว่า “ ศักดิ์สิทธิ์ ” ของมนุษย์ที่คนโบราณที่กล่าวไว้ ก็คือ

ศักดิ์ = ศักดาไฟฟ้า

สิทธิ์ = สิทธิ — อิทธิ + กระแสไฟฟ้า

ศักสิทธิ ์ ก็คือ การที่ตนเองมีกระแสไฟฟ้าในการขับเคลื่อนกาย และควบคุมจิตด้วยกำลังแห่งสมาธิ

และนั่น จะได้สภาวะการควบคุมพอดี พอใจจนทำให้ฮอร์โมนในร่างกายอยูในสภาวะสมดุลโลกที่หมุนรอบตนเอง กระแสการใช้กายกับจิต และการรับทานอาหาร และได้รับอากาศ ที่ได้สัดส่วน ออกซิเจน 79 % และไนโตรเจน 9 % และก๊าซอื่น ๆ อีก 10 % อาร์กอน, นีออน, คาร์บอนไดออกไซค์ และการขับถ่ายหลังดวงอาทิตย์พบขอบโลก 2-3 ชม. เมื่อรับประทานอาหารทันทีที่แสงกระทบตัว รวมถึงดื่มน้ำทุกชั่วโมง เพื่อระบายความร้อนในช่องปากด้วยการบ้วนน้ำหลังจากอมไว้ 1-2 วินาที ถึง 30 วินาที อาหารเป็นพืชผัก 80 % แป้งและโปรตีน อีก 20 % รวมถึงเข้านอนทันทีที่ดวงอาทิตย์ตก

เพราะฉะนั้นกระแสโลกที่หมุนรอบตัวเองกับกระแสพลังงานในร่างกายมนุษย์ย่อมมากกว่าจนคำนวณไม่ได้ การที่จะเอาตัวไปไว้ใต้ทรายริมชายฝั่งทะเลที่สะอาด, แม่น้ำสะอาด, ร่างกายจะค่อย ๆ เหมือนแตะเบรกให้พลังงาน ได้กลับมาเผาผลาญเซลล์ตายให้เปลี่ยนรูปเป้นพลังงาน และลดแรงเสียดทานด้วยโอโซนจากน้ำทะเล และแม่น้ำใช้ในการเคลื่อนตัวเสียดทานกับชั้นบรรยายกาศ ทำให้ โปรตรอน และ อิเลคตรอน แยกออกจากกัน และมารวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ และอยู่ในรูปของโอโซน โดยทำให้ความร้อนในตัวผู้ฝังทรายลดลง, ไขมันหุ้มปลายประสาทจะเหลือมากพอต่อการส่งสัญญาณให้สมองส่วนกลาง, ข้าว, หลังรับรู้ข้อมูลในแผงวงจรการผลิตฮอร์โมน, การขับเคลื่อนอวัยวะให้ทำงานได้ถึงระดับของการขับของเสีย, เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ให้แข็งแรงในร่างกายให้ดูอ่อนกว่าวัย, ตัวเบา, และระบบทุกอย่างให้เป็นปกติ นั่นคือ ชีวิตไม่ถูกรุมเร้าด้วยโรคต่าง ๆ ต่อไปถ้าหากทำได้เป็นประจำ

กลไกทางเคมีของร่างกายเมื่อท่านฝังทราย
• ชะลอการเผาผลาญ
• ขจัดของเสีย
• เพิ่มพลังงานสำรอง
• ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
• เสริมสร้างให้กระดูกและผิวพรรณแข็งแรงสมบูรณ์

อาการที่เกิดขึ้นหลังการฝังทราย
อาการที่เกิดขึ้นขณะที่มีการฝังทรายจะจะสังเกตรู้ได้เลยว่า อาจมีอาการเต้น ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตามจุดต่างๆในร่างกาย นั่นก็คือ ถึงจุดที่ท่านมีความเสื่อม จุดที่ท่านกำลังมีปัญหา ถ้ามันตุ๊บ ตุ๊บ แล้วหายไป นั่นก็คือท่านเริ่มดีขึ้น

บางท่านอาจจะรู้สึกคัน และปวดตามเนื้อตามตัว

สิ่งสำคัญคือต้องระวังในเรื่อง การดื่มน้ำให้พอ การรับประทานอาหารให้มาก แค่อิ่ม ไม่ใช่มากจนกระทั่งจุก เมื่อฝังเสร็จจะพบว่าท่านหิวมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น

นั่นเป็นเพราะว่า หลังการฝังทราย กระแสโลหิตของท่านที่ไปซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ในร่างกายก็ดี การพัฒนาให้ร่างกายแล้วเกิดเซลล์ใหม่ก็ดี จะพบว่าสารอาหารในระบบเลือดลดลง ทำให้ท่านรู้สึกหิว ท่านต้องเตรียมน้ำ เตรียมพืชผักผลไม้ไปด้วย

หากอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีทรายจะทำอย่างไร ?
ทรายในที่นี้ไม่ใช่เพียงทรายทะเลเท่านั้น เราสามารถใช้ลำน้ำ ทางอีสาน อาจจะใช้แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล ที่มีทรายน้ำจืดก็สามารถใช้ได้หมด ทางเหนือ ก็มี แม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน ฯลฯ ซึ่งหากที่ใดที่มีน้ำและมีทรายที่มีการหมุนเวียนมาไหลกระทบฝั่งแบบนี้มันจะเกิดโอโซนขึ้น ถ้าเกิดเราไปฝังทรายที่ไม่มีการหมุนเวียนโอโซน จะทำให้ร่างกายรู้สึกอึดอัด แน่น อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นการฝังทรายที่ดี และถูกต้อง ต้องฝังตรงที่มีทะเล มีภูเขา และหันศีรษะขึ้นทางภูเขา ไม่ใช่ลงไปทางน้ำทะเล

ประเภทของผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดด้วยการฝังทราย
ส่วนใหญ่แล้วหลังจากที่เราขยายผลออกไปก็จะมีพวกหมอนรองกระดูกเคลื่อน อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความดัน ไขมัน เกาท์แล้วก็นอนไม่หลับ แล้วก็เนื้องอก เซลล์มะเร็ง แล้วก็ SLE แล้วก็โรค ALS กลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่มีอาการภูมิแพ้หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง HIV

ผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องฝังทรายเพราะว่าจะได้รับออกซิเจน อาหารแล้วก็การขัดเกลาให้ร่างกายเราสลัดเซลล์ตายที่เกิดขึ้นแล้วนำมาเปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน เพราะฉะนั้นเซลล์ใหม่ก็เกิดขึ้น ก็จะมีประสิทธิภาพ

คือจะเห็นได้ว่า “ วงจรของมันจะสมดุลกันดี จะดีกว่าการฝังเข็ม ”

การเตรียมตัวเพื่อมาฝังทราย
อันดันแรกเลย สิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ ต้องดื่มน้ำ และ ดื่มน้ำผักปั่นให้มาก แล้วก็นอนหลับให้เพียงพอ แล้วก็ใช้กางเกงขาสั้น จอบอันนึง เอาร่มถ้าแดดมันร้อน หรือถ้ามีฝนปรอยๆเราก็ไม่ควรอยู่ในทรายควรกลับขึ้นไปเลย แล้วก็ควรฝังอยู่ประมาณ30นาที ถึง 1ชั่วโมง ท่านจะรู้สึกเองว่าร่างกายท่านเป้นอย่างไร

เสื้อผ้าที่นำมาใช้ อาจจะเป็นชุดว่ายน้ำ หรือกางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามก็ได้

วิธีการฝังทราย
เมื่อเตรียมตัวเบื้องต้นให้พร้อม
1. หาพื้นที่ฝังทรายชายทะเลที่มีภูเขา และไม่เป็นพื้นที่ก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งระบายน้ำเสีย และสิ่งสกปรก
2. ขุดชายหาดที่มีความยาวเท่าตัวผู้ฝัง และลึกพอที่จะกลบร่างกายให้มิด โดยเหลือบบริเวณใบหน้าเอาไว้
3. นอนหลับตา ประมาณ 20-30 นาที

“สิ่งสำคัญไม่ใช่การฝังทราย ?? ”
แต่ที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ก็คือ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน”

ไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อน การรับประทานอาหาร การทำอารมณ์ให้ดี การถ่ายอุจาระตอนเช้า การเข้านอนก่อน 3 ทุ่ม เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการฝังทราย

แต่การฝังทรายท่านจะเห็นการปรับเปลี่ยนทางร่างกายอย่างรวดเร็วภายใน1ครั้งในการฝังทราย

ท่านลองคำนวณดูนะคะว่าท่านควรฝังทรายกี่ครั้ง ? ถึงจะช่วยบำบัดสภาพร่างกายของท่านให้ดีขึ้น

แนวคิดเรื่องการพัฒนาและส่งเสริม
ความรู้สึกที่ท่านได้รับจากการฝังทราย จะทำให้ท่านเข้าใจถึงพลังงานของ
“มหาสมุทร ทะเล และแม่น้ำในการดูดซับสารพิษออกจากร่างกาย ” แล้วยังเสริมพลังให้ร่างกายมีความแข็งแรง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีมากมายในประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถสั่งซื้อได้ แต่ท่านสามารถตักตวงได้ซึ่งหากพัฒนาไปในระดับภาครัฐ

เอกสารอ้างอิง
บทสัมภาษณ์ ดร. รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ เรื่อง การฝังทรายบำบัดโรค วันที่ 21 ก.ย. 2549 โดย นาวี มีบรรจง
เอกสารประกอบงานมหกรรมสุขภาพเพื่อการรักษาตัวเอง ฉบับที่ ๑ เรื่อง การฝังทรายเพื่อการบำบัดโรค 25 มกราคม 2548
การฝังทรายเพื่อบำบัดโรค เล่าสู่กันฟัง Neighbornews (แพทย์ทางเลือก เล่ม 2) โดย นาวี มีบรรจง บรรณาธิการ ดร. รสสุคนธ์ พิมพ์ครั้งที่ 2 มกราคม 2549

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *