การคิดแบบ OUTSIDE IN

การคิดแบบ OUTSIDE IN
« เมื่อ: ธันวาคม 18, 2008, 06:12:05 pm »
________________________________________
เปลี่ยนมุมมอง

เคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ส่งลูกสาวไปเรียนต่างประเทศ ฟังหลักสูตรการเรียนการสอนแล้วน่าอิจฉาริษยา
เป็นยิ่งนัก เขาเล่าให้ฟังถึงวิธีการสอนเด็กแบบให้รู้จัก ” คิด ” แทนที่จะให้ ” จำ ” เพียงอย่าง
เดียว ……

ตัวอย่างหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ ครูให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงแม่ สมมุติสถานการณ์ว่าถ้านักเรียนจะขอ
ย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลกับแม่อย่างไร แม่จึงจะยอมรับ ให้เรียบเรียงเป็นจดหมายส่งในวันรุ่ง
ขึ้น

พอวันรุ่งขึ้น ครูจะสร้างสถานการณ์ใหม่ สมมุติให้เด็กนักเรียนเป็นแม่ คราวนี้ให้เขียนจดหมายถึงลูกที่ขอ
ย้ายไปอยู่กับแฟน เราจะให้เหตุผลคัดค้านลูกอย่างไร ผมไม่รู้ว่าครูสรุปเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร แต่ฟังเท่านี้
ก็อึ้งแล้ว…….

นี่คือ การสอนแบบไม่ต้องสอน สอนให้นักเรียนรู้จักคิดเอง และสอนให้รู้จักคิดต่างมุม ไม่ต้องมาสอนให้ นักเรียนท่องจำว่าวัยนี้เป็นวัยเรียน อย่าริรักในวัยเรียนนะ แต่ใช้วิธีให้นักเรียนรู้จักคิดต่างมุม

เริ่มจากการคิดจากมุมของตัวเรา และไม่ใช่คิดด้วย ” ความรู้สึก ” แต่คิดแบบมีเหตุผล พอคิดจาก
มุมมองของตัวนักเรียนเสร็จ ก็เปลี่ยนองศาใหม่ เปลี่ยนมุมใหม่ ลองคิดจากมุมของคนที่เป็นแม่ดูบ้าง

ทุกคนคงยอมรับว่าคงยากที่แม่คนไหนจะเห็นด้วยกับลูกที่เรียนแค่ระดับ ” ไฮสกูล ” จะย้ายไปอยู่กับ
แฟน เมื่อแม่ทุกคนคิดเหมือนกันก็แสดงว่าแม่ต้องมีเหตุผลของแม่ จดหมายที่ให้นักเรียนเขียนจึงเริ่ม
ต้นด้วย ” จุดยืน ” ที่เหมือนกัน คือ ” ไม่เห็นด้วย ” อะไรคือเหตุผลของคนที่เป็นแม่

ไม่บอก แต่ให้คิดเอง ลองคิดแบบเข้าใจคนเป็นแม่ และเรียบเรียงเหตุผลออกมา ผมเชื่อว่าเมื่อ
นักเรียนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องคิดแบบ ” แม่ ” เขาจะเข้าใจ ” แม่ ” มากขึ้น เข้าใจมุมมอง
เข้าใจเหตุผลของคนที่เป็น ” แม่ ” อาจไม่ครบร้อย แต่เข้าใจมากขึ้นอย่างแน่นอน

การสอนให้ ” คิดต่างมุม ” จะทำให้เขาเข้าใจคนอื่นดียิ่งขึ้น และติดแน่นทนนานกว่าการสอนแบบท่อง
จำ เพราะท่องจำนั้นอาจพูดได้ แต่ไม่เข้าใจ ส่วนการคิดต่างมุมนั้นท่องไม่ได้แต่จดจำนาน

ผมชอบที่ครูใช้การเขียนจดหมายแทนการพูด เพราะการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดที่ดีที่สุด
ผมใช้วิธีนี้เป็นประจำ เวลาเจอน้องๆ ที่มีอาการสับสนทางจิต คิดไม่ออกว่าจะเลือกทางไหนดี ผม
จะเสนอให้ใช้วิธีการเขียน แยกแยะเหตุผลเป็นข้อๆ ข้อดีมีอะไรบ้าง ข้อเสียมีอะไรบ้าง

เหตุผลที่เสนอให้ใช้วิธีการเขียนมีอยู่ 2 ข้อ

ข้อแรก เป็นการยืดเวลาให้กับตัวเราเอง คิดไม่ออกแต่ดู ” เท่ ” ยืดเวลาได้ตั้งหลายวัน
ข้อที่สอง ผมเชื่อว่าการเขียนคือการเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบได้ดีที่สุด

พอบังคับตัวเองว่าต้องเขียน ความคิดที่กระเจิดกระเจิงจะเริ่มเป็นระบบ” เหตุผล”
เวลาอยู่ในสมองจะมีนิสัยเหมือนเด็กช่างกล ชอบยกพวกตีกันเป็นประจำ
แต่การเขียนเหมือนการเป่านกหวีดจัดระเบียบ ” เหตุ
ผล ” จาก ” สมอง ” สู่ ” แขน ” ไป ” มือ ” พอเรียงร้อยเป็นตัวอักษร มันผ่านกระบวน
การกลั่นกรองมากมาย ”

เหตุผล ” ที่ยกพวกตีกัน พอเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ บางทีเราจะตกใจ
ที่คิดว่ามีกันมากมายหลายสิบหลายร้อย แต่จริงๆ มีแค่ไม่กี่ข้อ
จากนั้นก็ตัดสินใจไม่ยากว่าควรเลือก
หนทางใดดีกว่ากัน

การรู้จักเปลี่ยนมุมความคิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะการเข้าใจคนอื่นจะทำให้เรามีมุม
มองที่หลากหลายขึ้น ไม่ตัดสินอะไรจากมุมมองของเราเพียงด้านเดียว

ในเชิงการตลาด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในอดีต ผู้ผลิตสินค้าชอบคิดแบบ ” สินค้า ” เป็นใหญ่ ไม่
สนใจว่าผู้บริโภคต้องการอะไร เชื่อว่าถ้าผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพแล้ว ผู้บริโภคต้องซื้อ แต่วันนี้ต้อง
เปลี่ยนมุมคิดใหม่ ต้องเริ่มต้นจากผู้บริโภคต้องการอะไร แล้วจึงผลิตสินค้ามาตอบสนองความต้องการ
ของผู้บริโภค เป็นวิธีคิดแบบ ” ผู้บริโภค ” เป็นใหญ่

วันนี้ต้องคิดแบบ “OUTSIDE IN” ไม่ใช่ ” INSIDE OUT” ก็คือการเปลี่ยนมุมคิด
มองจากข้างนอกมาหาตัวเรา ไม่ใช่คิดแบบมองจากตัวเราไปข้างนอก

ถ้าจะอธิบายด้วยสำนวนตะวันตกก็คือ การเปลี่ยนไปใส่รองเท้าของคนอื่นบ้าง
คือเปลี่ยนจุดยืนจากที่เรายืนอยู่ จากรองเท้าที่เราสวมใส่ ไปสู่รองเท้าคู่ใหม่ คู่ที่คนอื่นสวมอยู่
มองจากมุมนั้นมาสู่ตัวเรา จะทำให้เราเข้าใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรา กำหนด จังหวะก้าวได้ง่ายขึ้น

ความจริงเรื่องนี้คนโบราณเขาสอนกันมานานแล้ว
จำสำนวนนี้ได้ไหมครับ “เอาใจเขามาใส่ใจ เรา” ถ้าเราเป็นเขา เราจะคิดอย่างไร ทั้งมุมมอง
และกระบวนการคิด นั่นแหละครับ

“OUTSIDE IN” รู้ไหมครับว่าใครเป็นคนคิดสำนวนที่ว่า ” เอาใจเขามาใส่ใจเรา ”
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก …

คนคิดเป็น ” หมอ ” ครับ … หมอผ่าตัด ” หัวใจ ”

สถาณการณ์สังคมในวันนี้ ต้องการคิดแบบนี้ครับ เพราะเป็นต่อสู้กันด้วยเหตุและผล ไม่ใช่อารมณ์และ บนความไม่รู้ ถ้าอ่านข่าว จะเจอคนงานหลายโรงงาน ที่ออกมาบังคับให้นายจ้างจ่าย โบนัสกันดุเดือด โดยไม่มองว่านายจ้างที่ไม่ปิดโรงงานก็กรอบแล้วเช่นกัน ถ้ามองแบบ outside in จะเข้าใจกันง่ายขึ้นทั้งสองฝ่าย …

ขอสันติสุข จงมีกับทุกท่านครับ

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *