การคิดบวก จะคิดลบทำไม
การคิดบวก (1) จะคิดลบทำไม
ตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนที่คิดลบ แต่อาจจะไม่มีใครรู้เพราะผมอาจจะไม่ได้แสดงออก แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวผมมาโดยตลอด แม้ในขณะนั้นตัวผมเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยว่านี่คือการคิดลบ การคิดลบทำให้ผมเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง และมองคนในแง่ที่ค่อนข้างร้าย ทำให้ขาดความสามารถที่จะพูดกับผู้อื่นด้วยความมั่นใจ ไม่มีความสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้เท่าที่ควร
เมื่อสมัยตอนเด็กๆที่เป็นเช่นนี้ อาจเพราะว่าผมอยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างจะคิดลบ และคุณแม่ยังชอบเอาตัวผมไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เก่งกว่า ดีกว่า ด้วยความหวังดีว่าถ้าเอาไปเปรียบกับคนที่เก่งกว่านั้น ตัวผมเองอาจจะมีความมุมานะ มีความพยายาม ซึ่งวิธีการนี้สำหรับผมนั้นมันใช้ไม่ได้ผล ยิ่งทำให้ผมขาดความมั่นใจในตนเอง เพราะมีความรู้สึกว่าคนอื่นนั้นเก่งกว่าเราไปหมด
ถึงแม้ในขณะตอนผมเริ่มมาทำงานเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ก็ยังมีความรู้สึกที่เป็นลบ มีความเป็นห่วง กังวล และไม่มั่นใจว่าจะมีความสามารถที่จะทำงานได้หรือไม่ เพราะรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนไม่มีความสามารถ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครคนอื่นที่ทราบความรู้สึกอันนี้ของผม ยกเว้นคนใกล้ชิดเช่น ภรรยา แต่ในปัจจุบันนี้มีคนทราบมากขึ้น เพราะผมคอยบอกคนอื่นอยู่เสมอว่าเมื่อสมัยก่อนผมเป็นคนคิดลบ และเป็นคนขี้กลัว กลัวว่าจะไม่สามารถทำงานได้ เรียนจบมาแล้วก็ยังอาจทำงานไม่ได้ และถ้าทำงานไม่ได้จะทำอย่างไร แต่ ณ วันนี้ผมเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความคิดที่เป็นบวก ผมจึงมาคิดทบทวนว่าทำไมผมถึงเป็นคนที่เริ่มคิดบวก
บางทีอาจเกิดจากคุณพ่อ ซึ่งท่านเป็นคนที่คิดบวกมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยตระหนักมาก่อนเลยว่าคุณพ่อเป็นคนที่คิดบวก แต่หลังจากได้คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ หรืออุปนิสัย วิธีการทำงานของคุณพ่อ หรือแม้แต่เวลาที่ท่านอยู่กับผม ผมนึกไม่ออกเลยว่าท่านเคยพูดอะไรที่เป็นลบกับคนอื่น กับงาน หรือแม้แต่กับประเทศชาติ ท่านเป็นคนที่ชื่นชมผู้อื่น มีแต่เห็นว่าอะไรก็น่าทำ อะไรก็ทำได้ เวลาผิดหวังกับลูกน้องก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง เวลาลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาทำอะไรดีๆ มักจะมาเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอ ผมจึงสันนิษฐานว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นคนที่คิดอะไรเป็นบวกมากขึ้น และเมื่อเราเข้าใจคำว่าคิดบวก โดยที่ไม่ต้องอ่านตำรา ไม่ต้องไปเข้าคอร์สอบรมการคิดบวก ผมก็สามารถให้คำแนะนำกับผู้อื่นเกี่ยวกับการคิดบวกได้ และได้ทดสอบว่าการคิดบวกนั้นช่วยตัวเราอย่างไร ช่วยองค์กรของเราอย่างไร และผมยังเชื่ออีกด้วยว่า ถ้าเราหลายๆคนในประเทศไทยคิดบวกมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ ประเทศชาติของเราก็จะดีขึ้นด้วย
จนถึงทุกวันนี้ ผมได้สามารถทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ซึ่งเมื่อสมัยก่อนทำไม่ได้ หรือแม้แต่คิดก็ยังไม่เคยคิด ผมสามารถทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับตัวเอง กับผู้อื่น กับสังคมหลายๆอย่าง มากกว่าเมื่อสมัยก่อนหลายร้อยเท่า จากการที่เป็นคนคิดบวกและมองโลกในแง่ดี
ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เราหลายๆ คนน่าจะเข้าใจได้ ก็คือถ้าคน 2 คนมีความสามารถเท่าๆ กัน หรือเรียนมาจากที่เดียวกัน คนหนึ่งคอยบอกกับตัวเองว่า เราจะรวย เราจะรวย เราจะรวย ซึ่งผมถือว่านี่คือการคิดบวก ส่วนอีกคนหนึ่งคอยบอกกับตัวเองว่า เราจน เราจน เราจน ถ้าสามารถหาคน 2 คนมาพูดอย่างนี้ได้ คนที่พูดว่าจะรวยๆ คือคิดบวกกับตนเอง คนที่พูดว่าจนก็คือการคิดลบกับตัวเอง และถ้าลองถามตัวท่านเองว่าถ้า 2 ปีผ่านไป ใครน่าจะรวยขึ้น ใครน่าจะจนลง…… คำตอบคงจะเป็นคำตอบที่ท่านน่าจะตอบกับตัวเองได้ นี่คือการเปรียบเทียบเรื่องของคนที่คิดบวก กับคนที่คิดลบ คนที่คิดลบโอกาสที่จะรวยหรือสำเร็จก็จะน้อย ในขณะเดียวกันคนที่คิดบวกโอกาสที่จะสำเร็จก็จะมากด้วย แล้วเราจะไปมัวคิดลบอยู่ทำไม???
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ – ยกเครื่องความคิด