VI วัยเยาว์

VI วัยเยาว์
โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าชีวิต และความสำเร็จของคนเรานั้น ส่วนมากสามารถบอกได้ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก ประมาณว่าจบปริญญาตรี เราก็พอจะมองออกว่า ใครจะเป็นอย่างไร และจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนในชีวิต เครื่องชี้เรื่องความสำเร็จนั้น นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว กิจกรรมที่เราทำน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับผลการเรียนหรืออาจจะมากกว่า แต่ถ้าใครเรียนเก่งและทำกิจกรรมที่ “มีคุณค่ามาก” ด้วยแล้วละก็ โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตต่อมาก็จะสูงมาก นั่นก็คือ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากคนที่รู้จัก ตั้งแต่สมัยเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนมือหนึ่งของโลก ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ บัฟเฟตต์ก็เริ่มอยากหาเงินโดยการเดินขายโค้กที่รับมาจากร้านชำของปู่ ต่อมาเขาก็ลงทุนซื้อเครื่องเล่นเกมพินบอลมาตั้ง ให้คนเล่นในร้านตัดผมได้เงินถึงสัปดาห์ละ 50 ดอลลาร์ ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากสำหรับเด็กอย่างเขา ในช่วงที่เรียนมัธยมที่กรุงวอชิงตันที่เขาตามไปอยู่กับพ่อซึ่งได้รับเลือกเป็น ส.ส.และต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น เขาก็วิ่งส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านจนมีเงินพอที่จะซื้อฟาร์มขนาด 40 เอเคอร์ เมื่ออายุเพียง 14 ปี
นอกจากการทำธุรกิจแล้ว บัฟเฟตต์ยังสนใจกิจกรรมการเก็งกำไร เขาเริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่อายุ 11 ขวบ อายุ 12 ขวบ ก็เริ่มสนใจ และทำโพลล์แข่งม้าออกมาขาย เขายังสนใจ และหมกมุ่นอยู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วย จนกระทั่งได้มาพบหนังสือของ เบน เกรแฮม เรื่อง Intelligent Investor ขณะที่ศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งทำให้เขา “บรรลุ” สู่การเป็น Value Investor ในเวลาต่อมา
ในเรื่องของการเรียนนั้น บัฟเฟตต์ทุ่มเทเอาใจใส่กับวิชาการลงทุนที่เขาเรียนกับ เบน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มากจนกลายเป็นศิษย์เอกเพียงคนเดียวที่ได้เกรด A บวก และต่อมาเขายังได้ “ฝึกงาน” กับ “บิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment” ด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่บัฟเฟตต์จะเริ่มต้นเดินทางในสายของการเป็นนักลงทุนเต็มตัวด้วยตัวเอง และประสบความสำเร็จจนกลายเป็นตำนานของนักลงทุนจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตในวัยเด็กของ เบน เกรแฮม เป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร เพราะเขากำพร้าพ่อตั้งแต่อายุได้ 9 ขวบ ทำให้แม่ต้องออกมาทำงานเลี้ยงดูครอบครัว เบน เกรแฮม นั้น ถ้ามองจากประวัติของเขา เราก็น่าจะพูดได้ว่า เขาน่าจะถือได้ว่าเป็น “อัจฉริยะ” คนหนึ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนที่เรียนเก่งมากระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือ เขามีความสามารถหลากหลายมาก ไล่ตั้งแต่วิชาคณิตศาสตร์ ภาษา ปรัชญา ไปจนถึงเรื่องของศิลปะการละครที่เขาทำไปหลายเรื่อง และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาเป็น “นักคิดสร้างสรรค์” ที่นำหลักการ Value Investment มาสู่โลกของการลงทุน
ปีเตอร์ ลินช์ นักลงทุนเอกของโลกอีกคนหนึ่งก็เป็นเด็กที่กำพร้าพ่อมาตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ เขาส่งเสียตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย จากการเป็นแคดดี้แบกถุงกอล์ฟให้ผู้มีอันจะกินที่เป็นนักบริหารระดับสูง เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่เรียนมาทางสายศิลปศาสตร์ จำพวกภาษา และปรัชญาแม้ว่าจะมาต่อทางด้าน MBA ในระดับปริญญาโท
จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรแบบอิงภาวะเศรษฐกิจ การเงิน ระดับโลก นั้น ชีวิตในวัยเด็กต้องหนีพวกนาซีจากฮังการี บ้านเกิดไปยังอังกฤษ และต่อมาที่อเมริกาดูเหมือนว่า นักการเงินเชื้อสายยิวคนนี้จะมีสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดสูงมาก และพร้อมที่จะ “พนัน” แบบได้เสีย ถ้าดูแล้วว่าโอกาสที่ตนเองจะชนะมีสูงมาก
จากตัวอย่างที่โดดเด่นข้างต้น ดูเหมือนว่า Value Investor มักจะมีนิสัยของการชอบ “หาเงิน” มาตั้งแต่เด็ก หลายคนเป็นคนที่ยากจนและต้องดิ้นรนทำงานหาเงินเพื่อเอาตัวรอดหรือส่งตัวเองให้ได้รับการศึกษาที่ดี ส่วนนักเก็งกำไรที่โดดเด่นนั้น ดูเหมือนว่าจะต้องมีจิตวิทยาของการเอาตัวรอด การตัดสินใจที่รวดเร็วพร้อมที่จะเข้าทำ และหนีได้ตลอดเวลา
ชีวิตช่วงที่เป็นเด็กของผมเองนั้น เมื่อมองย้อนหลัง ผมชอบหาเงิน เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 8-9 ขวบ ผมก็ขายขนมสำหรับเด็กสารพัดชนิด ตั้งแต่ หมากฝรั่ง สายไหม ขนมโก๋ ไปจนถึงไอศกรีมแท่งแบบโบราณ นอกจากนั้นผมยังทำงานพิเศษโดยการพับถุง ตอกตาไก่ และงานอื่นๆ อีกหลายอย่างเท่าที่จะหาได้จากญาติ ที่รับงานจากนายจ้างอีกต่อหนึ่ง เมื่อเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ผมยังเคยทำธุรกิจเล็กๆ หลายอย่าง เช่น การเลี้ยงกุ้ง เพาะเห็ด โดยอาศัยสวนหมากของเพื่อน แต่ทั้งหมดนั้นไม่ประสบความสำเร็จเลย หลังจากเรียนจบ และทำงานประจำแล้ว ผมยังเคยทำงานรับเหมาเล็กๆ ร่วมกับเพื่อนลงทุนเปิดโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ และทำธุรกิจไฮเทคบางอย่าง แต่ก็ลงเอยด้วยความล้มเหลวอีกเช่นเคย ผมทบทวนดูแล้ว สาเหตุของความล้มเหลว อยู่ที่ผมทำทั้งๆ ที่ยังขาดประสบการณ์ และทักษะที่จำเป็นอีกหลายอย่างในการทำธุรกิจ
มองในด้านของความถนัด และทักษะ ผมเป็นคนที่ชอบคิดและแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องของเหตุผลและตัวเลขทางคณิตศาสตร์ ในช่วงเรียนมัธยมผมชอบเล่นหมากรุก และแก้โจทย์คณิตศาสตร์รวมทั้งพิสูจน์ความจริงทางเรขาคณิต ผมแทบไม่มีความสามารถในด้านของการวาดเขียน ทำงานศิลปะหรือเล่นดนตรีเลย แต่ผมเคยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ระดับชาติ ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมเคยขีดๆ เขียนๆ ในหนังสือกิจกรรของมหาวิทยาลัยอยู่เนืองๆ รวมทั้งเคยเขียนบทละครที่เล่นกันเองในงานรับน้องของคณะด้วย เมื่อมองย้อนกลับไป ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ไม่น้อย ค่าที่ว่า เรื่องราวต่างๆ และกิจกรรมที่ทำนั้น ผมคิดและทำในหลายๆ เรื่องที่ไม่มีใครสอนหรือบอกให้ทำและที่สำคัญ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการทำมาก่อน และทั้งหมดนั้นก็คือ การทบทวนความหลัง ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมผมจึงเป็น Value Investor

Tags:

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *