โรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี
โรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี
คุณภาพชีวิต
พบอัตราการเป็นพาหะถึง 10% ของประชากร
ไวรัสตับอักเสบ บี เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในประเทศไทย พบอัตราการเป็นพาหะของไวรัสนี้ร้อยละ 6-10 ของประชากร จึงนับว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญอันหนึ่ง
ลักษณะของไวรัสและการติดต่อ
ไวรัสตับอักเสบ บี เป็น ดี เอ็น เอ ไวรัส ที่ค่อนข้างทนทาน การติดต่อของไวรัสตับอักเสบ บี ที่สำคัญมี 3 ทาง คือ
1. การติดต่อจากมารดาสู่ทารก
เป็นการติดต่อที่สำคัญที่สุด ในอดีตร้อยละ 70-90 ของผู้ป่วย พาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ติดโดยวิธีนี้ ซึ่งโดยมากมักติดเชื้อจากมารดาขณะคลอด การนำวัคซีนป้องกันตับอักเสบ บี มาฉีดให้กับทารกแรกคลอดทุกคน จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อในทารกลงได้มาก มีรายงานการพบไวรัส ในน้ำนมมารดา แต่ในมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี การให้นมบุตรไม่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทารก
2. การติดต่อโดยเลือด
ส่วนประกอบของเลือดรวมถึง การใช้เข็มฉีดยา การสัก ฝังเข็ม หรือการเจาะหู ถ้าเลือดหรือเข็มเหล่านั้นปนเปื้อนด้วยไวรัสตับอักเสบ บี จะเป็นสาเหตุสำคัญในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าไวรัสเอดส์หลายเท่า
3. ทางเพศสัมพันธ์
โดยทั่วไปถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี จะมีโอกาสต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้มากกว่าไวรัสเอดส์หลายเท่า การรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไม่ได้เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แม้จะมีรายงานพบเชื้อไวรัสในน้ำลาย แต่จากการทดลองต้องฉีดเข้าผิวหนังจึงก่อให้เกิดโรค
อาการของผู้ป่วย
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี อาจมาพบแพทย์ได้ 3 ระยะ คือ
ตับอักเสบเฉียบพลัน
ในประเทศไทยผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันราว 1/3 เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตามด้วยคลื่นไส้อาเจียน จุกแน่นชายโครงขวา จากตับที่โตแล้ว จึงสังเกตว่าปัสสาวะเข้ม ตาเหลืองในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน จากไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 90-95 จะหายเป็นปกติ พร้อมกับร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ บี มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น ที่ไม่สามารถกำจัดไวรัสออกไปจากร่างกายได้ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง และน้อยกว่าร้อยละ 1 อาจเกิดอาการตับวายได้
ตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญ จากการตรวจร่างกายประจำปี พบความผิดปกติในการทำงานของตับ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่การอักเสบและการทำลายเซลล์ตับมากๆ โรคจะดำเนินต่อไปทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพลง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
ตับแข็ง
ซึ่งมักมาพบแพทย์จากอาการแทรกซ้อน เช่น เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด หรืออาจกลายเป็นมะเร็งตับ
การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ บี สามารถกระทำได้โดย
1. การตรวจการทำงานของตับ
โดยการหาเอนไซม์ที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ตับที่อักเสบ คือ SGOT (AST) และ SGPT (ALT) ปกติระดับเอนไซม์สองตัวนี้จะน้อยกว่า 40 ถ้าสูงผิดปกติบ่งบอกถึงการอักเสบของตับ แต่ไม่จำเพาะกับ ไวรัสตับอักเสบ บี เพราะอาจพบได้ในการอักเสบจากไวรัสตัวอื่นๆ หรือผลของยาต่างๆ และแอลกอฮอล์ นอกจากนั้นในกรณีที่เจาะตอนมีไข้ พบว่าค่าต่างๆ เหล่านี้อาจผิดปกติโดยผู้ป่วยไม่ได้มีตับอักเสบ ดังนั้นถ้าพบว่า เอนไซม์ผิดปกติต้องปรึกษาแพทย์ก่อน ซึ่งแพทย์มักเจาะซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังผิดปกติจึงหาสาเหตุต่อไป
2. การตรวจหาหลักฐานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
ซึ่งมีการตรวจทั้งการหาแอนติเจนของไวรัส และการตรวจทางน้ำเหลือง
การตรวจหาแอนติเจน
ที่สำคัญคือการหาแอนติเจนส่วนผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่ง ถ้าพบแสดงถึงกำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี แพทย์อาจตรวจหา แอนติเจนอีกตัวคือ HbeAg ซึ่งถ้าให้ผลบวกแสดงถึงการติดเชื้อ ที่มีการแบ่งตัวของไวรัสอย่างรวดเร็วมีปริมาณไวรัสมาก
การตรวจหาน้ำเหลือง
ที่สำคัญคือการตรวจหาภูมิต้าทานต่อไวรัสตับอักเสบ บี (Anti HBs) ถ้าให้ผลบวกแสดงว่า ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งอาจเกิดจากการได้รับวัคซีนหรือการติดเชื้ไวรัสตับอักเสบ บี แต่หายแล้วการตรวจทางน้ำเหลืองอีกตัวคือ Anti HBc เป็นตัวบ่งว่า มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งอาจจะหายไปแล้ว หรือกำลังติดเชื้ออยู่ก็ได้ ไม่ใช่ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ
นอกจากนี้อาจมีการตรวจหาไวรัสด้วยวิธีอื่น เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในเลือดซึ่งให้ผลแม่นยำกว่า และสามารถบอกปริมาณจากไวรัสได้
3. การตรวจพยาธิสภาพของตับ
โดยใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะดูดเอาเนื้อตับชิ้นเล็กๆ ออกมาตรวจ การตรวจนี้จะมีประโยชน์มากในการประเมินความรุนแรงของตับอักเสบ เพื่อประโยชน์ในการรักษาและการพยากรณ์โรค
4. การตรวจทางรังสีวิทยา
เช่น การตรวจด้วยคลื่นเสียง (Ultasond) หรือการเอกซเรย์ คอมพิวเตอร์ อาจได้ประโยชน์ในการประเมินว่า มีตับแข็งหรือก้อนผิดปกติในตับหรือไม่
การรักษา
1. ตับอักเสบเฉียบพลัน
ไม่มีการรักษาเฉพาะ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองอยู่แล้ว ควรพักผ่อนตามสมควร รับประทานอาหารให้เพียงพอ การดื่มน้ำหวาน ปริมาณมากๆ ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้นแต่น้ำตาลที่ดื่มเข้าไปมากๆ จะเปลี่ยนเป็นไขมันไปสะสมในตับอาจทำให้ตับโตจุกแน่นนาน กว่าปกติได้
2. ตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ จึงสามารถปฏิบัติภาระกิจ ได้ตามปกติไม่ต้องหยุดงาน การรับประทานยาบำรุงตับ หรือวิตามินไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการอักเสบของตับหรือลดปริมาณไวรัส ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์ในปัจจุบันมีเพียงการใช้อินเตอร์เฟียรอน (interferon) เท่านั้น ซึ่งเป็นยาฉีดต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน จึงได้ประโยชน์ ซึ่งราวร้อยละ 30-40 จะทำให้การอักเสบของตับลดลง พร้อมกับปริมาณของไวรัสลดลงด้วย เนื่องจากอินเตอร์เฟียรอน มีราคาแพงและมีฤทธิ์ข้างเคียงมาก การใช้จึงควรอยู่ในดุลยพินิจ ของแพทย์ระบบทางเดินอาหารเท่านั้น
3. การปฏิบัติตัวอื่น ๆ
งดดื่มสุรา ทั้งในตับอักเสบเฉียบพลัน และเรื้อรังพบว่าการดื่มสุราจะเสริมทำให้โรครุนแรงขึ้น ในตับอักเสบเรื้อรังยังทำให้ตับเสื่อมสมรรถภาพจนเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับเร็วขึ้น
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เพราะยาเกือบทุกตัว จะถูกทำลายที่ตับ การใช้ยาต่างๆ จึงควรระมัดระวังและควรแจ้ง ให้แพทย์ทราบด้วยว่าเป็นตับอักเสบอยู่ด้วย การใช้ยาสมุนไพร หรือยาสามัญประจำบ้านต่างๆ อาจทำให้โรคลดลงได้
หมั่นตรวจสุขภาพเสมอ แม้แต่ในผู้ป่วย ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ก็ควรได้รับการตรวจเป็นระยะๆ อย่างน้อยทุก 4-6 เดือน เพราะบางครั้งจะมีการอักเสบเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วย ที่เป็นชาย อายุมากหรือมีตับแข็งร่วมด้วยควรติดตามเป็นระยะๆ เพื่อตรวจหามะเร็งตับระยะแรกเริ่มต้น
ที่มา: กองทุนอโรคยาเพื่อเผยแพร่ความรู้โรคตับ