เอสเอ็มอี (SMEs) เมื่อจะต้องจัดตั้งบริษัทเอง ทำได้อย่างไร

เอสเอ็มอี (SMEs) เมื่อจะต้องจัดตั้งบริษัทเอง ทำได้อย่างไร

ผู้ที่คิดประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือการให้บริการ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ย่อมต้องการจะให้ธุรกิจของตนเองประสบความสำเร็จ ทำกำไรให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่จะเข้าสู่วงจร ของการประกอบธุรกิจ คือ การเตรียมตัวที่ดี ต้องรู้ว่าตนเองถนัดทำอะไร ลักษณะใด ความต้องการของตลาดเป็นอย่างไร มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง จะต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการใด และภาระภาษีของธุรกิจนั้นมีอะไรบ้าง สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะต้องมีการวางแผน และการจัดการที่ดี ก่อนที่จะเริ่มจัดทำธุรกิจ

ข้อกังวลเบื้องต้น

ปัญหาประการหนึ่ง ของผู้ที่จะเริ่มประกอบธุรกิจทั้งหลายมีความหนักใจ กังวล และลังเลในการตัดสินใจคอ จะเริ่มธุรกิจในลักษณะใด ภาระภาษีสำหรับธุรกิจนั้น มีอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายสำหรับการเริ่มธุรกิจมีจำนวนเท่าไหร่ จากจุดนี้เอง การพิจารณาถึงรูปแบบ ในการจัดตั้งองค์กรธุรกิจ จึงจัดว่ามีความสำคัญในอันดับแรกๆ สำหรับการเริ่มประกอบธุรกิจเลยทีเดียว เนื่องจากปัจจุบันนี้ รูปแบบการจัดตั้งองค์กรธุรกิจ มีให้เลือกมากมายหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความประสงค์ ของผู้ประกอบการ เช่น กิจการเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งองค์กรธุรกิจแต่ละประเภท ต่างก็มีข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบที่แตกต่างกัน การศึกษาถึงข้อดีข้อเสีย ของการจัดตั้งองค์กรธรกิจในด้านต่างๆ จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจ เลือกรูปแบบองค์กรธุรกิจที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับตนเองได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม องค์กรธุรกิจที่นิยมจัดตั้งขึ้นในรูปแบบของนิติบุคคล ที่เราเรียกกันว่า “บริษัทจำกัด” เหตุที่เป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นรูปแบบองค์กรธุรกิจที่ดูน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี มีหลักมีฐาน เพราะได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการในขั้นหนึ่งแล้วว่า มีตัวตนจริง มีการจำกัดขอบเขตของความรับผิดชอบ ในหนี้สิน ที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ลงทุน การลดภาระภาษีอากร โดยนำรายได้ต่างๆ หักจากรายจ่าย และสามารถยกยอดขาดทุนสะสมของปีที่ผ่านมา มาตัดกำไรในการประกอบการปีต่อๆ ไปได้อีก เป็นต้น

ถึงแม้บ่อยครั้งเราจะได้ยินคำว่า “บริษัทจำกัด” หรือได้เห็นป้ายชื่อบริษัท ที่ติดตามอาคารร้านค้า และสถานที่ต่างๆ อยู่แทบทุกวัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า บริษัทจำกัดคืออะไร จะจัดตั้งอย่างไร จะต้องติดต่อหน่วยงานราชการไหน ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง มีค่าใช้จ่ายเท่าไร เราจะจัดตั้งได้เองหรือเปล่า หรือจะต้องว่าจ้างใคร ให้ดำเนินการแทน คำถามเหล่านี้ จะได้ยินบ่อยมาก สำหรับความหมายของบริษัทจำกัด และรายละเอียดเกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ที่พอจะสรุปได้ว่า บริษัทจำกัด คือ บริษัทประเภทที่ตั้งขึ้น ด้วยแบ่งทุน เป็นหุ้นมูลค่าเท่าๆ กัน โดยมีผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัด เพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นทีตนถือ นอกจากนั้น ในการจดทะเบียนบริษัทจำกัด จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ กำหนด พร้อมทั้งปฏิบัติตามระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นสวน และบริษัท พ.ศ.2538

ขั้นตอนจัดตั้งด้วยตัวเอง

ส่วนคำถามที่ว่า เราจะดำเนินการจัดตั้งบริษัทด้วยตนเองดี หรือจะต้องว่าจ้างนักกฎหมาย ทนายความ หรือบริษัทที่เปิดให้บริการให้คำปรึกษา ทางด้านนี้โดยเฉพาะหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสะดวก และต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายด้วย อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งบริษัทจำกัด มีขั้นตอนอยู่พอสมควร แต่ไม่ยุ่งยากมากนัก ถ้าจะดำเนินการด้วยตนเอง โดยการขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วจัดเตรียมคำขอ และเอกสารเพื่อการยื่นจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม หากผู้เริ่มประกอบธุรกิจ ต้องการความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ก็อาจว่าจ้างบุคคลอื่น ไปดำเนินการแทนได้ โดยผู้ประกอบการไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากการตระเตรียมข้อมูล และลงลายมือชื่อในเอกสารเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการให้บริการนี้ จะขึ้นอยู่กับประเภทของผู้ให้บริการ ถ้าผู้ให้บริการ เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายย่อมสูงกว่า การใช้บริการจากบริษัทสำนักงานทนายความ หรือสำนักงานบัญชีทั่วไป

บทความนี้ จะขอกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทจำกัดด้วยตนเอง โดยไม่อยากจะว่าจ้างใคร ให้มาดำเนินการให้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มประกอบธุรกิจอันแรก เป็นของตนเอง ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว การจัดตั้งบริษัทนั้น จะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. การขอจองชื่อบริษัท ผู้ประกอบการจะต้องนึกถึงว่าธุรกิจของตน ควรจะใช้ชื่ออะไร ที่จะสะดุดหูผู้คน มีความหมายดี และที่สำคัญคือต้องไม่เหมือน หรือคล้ายกับนิติบุคคลอื่น ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว เพราะอาจจะทำให้บุคคลทั่วไป หลงเข้าใจผิด หรือสับสน ชื่อที่ตั้งขึ้นนั้นก็แล้วแต่ความพึงพอใจของผู้ประกอบการ อาจตั้งชื่อเป็นภาษาไทย หรือภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่จะต้องไม่มีคำ หรือข้อความใดๆ ที่ขัดกับระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วน บริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน และบริษัท พ.ศ.2538 เช่น การตั้งชื่อบริษัทจำกัดที่มีคำ หรือข้อความที่เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสี รัชทายาท หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ในพระราชวงศ์ปัจจุบัน การตั้งชื่อที่อาจก่อให้เกิดสำคัญผิดว่าส่วนราชการของประเทศไทย หรือต่างประเทศเป็นเจ้าของ หรือผู้ดำเนินการ การตั้งชื่อที่ขัดต่อแนวนโยบายแห่งรัฐ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นต้น ปัจจุบันการจองชื่อกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีความสะดวกสบาย รวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย โดยการลงทะเบียน และจองชื่อผ่านทางเว็บไซต์ www.thairegistration.com

นายทะเบียน จะใช้เวลาตรวจสอบภายใน 1 วัน แล้วจะแจ้งผลการจองชื่อกลับมาทางอี-เมล์ ว่าชื่อบริษัทที่จองไว้ ว่าซ้ำกับบริษัทอื่นที่จดทะเบียนไว้หรือไม่ หากไม่ซ้ำ นายทะเบียน ก็จะอนุญาตให้ใช้ชื่อที่จอง เพื่อจดทะเบียนบริษัทได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะแจ้งกลับมาภายใน 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ชื่อของผู้ที่ใช้จองชื่อบริษัทจำกัดนั้น ควรจะเป็นผู้เริ่มก่อการบริษัทด้วย หากใช้ชื่อผู้ที่จอง เป็นบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว จะทำให้เสียเวลารอให้ชื่อที่จองแล้วนั้นหมดอายุ แล้วถึงจองชื่อใหม่ได้ ผู้ที่จองชื่อควรจะจองชื่อเผื่อไปอีก 2-3 ชื่อ (รวมเป็นชื่อที่สามารถจองทางเว็บไซด์ได้ทั้งหมด 3 ชื่อ) เพราะชื่อที่จองอาจจะซ้ำกับนิติบุคคลอื่น

2. การจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ เมื่อได้รับอนุญาตให้จองชื่อแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องไปจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จองชื่อ จะต้องมีผู้เริ่มก่อการ (บุคคลธรรมดา) อย่างน้อย 7 คน ผู้เริ่มก่อการคนใดคนหนึ่ง จะเป็นผู้เริ่มก่อการผู้ขอจดทะเบียน โดยการซื้อแบบฟอร์มาลิน และทำหน้าที่ดำเนินการขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานบริการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท หรือสำนักงานจดทะเบียนการค้าประจำจังหวัด รายละเอียดในหนังสือบริคณห์สนธิ จะต้องมีรายการดังต่อไปนี้

ชื่อบริษัท
จังหวัดที่ใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัท
วัตถุประสงค์ทั้งหลายของบริษัท
ข้อแถลงแสดงว่าความรับผิดของผู้ถือหุ้น มีจำกัด
จำนวนทุน จำนวนหุ้น และมูลค่าหุ้นของบริษัท
ชื่อ ที่อยู่ อาชีวะ และจำนวนหุ้น ซึ่งต่างคนต่างเข้าชื่อซื้อไว้ ของผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท และลายมือชื่อของผู้เริ่มก่อการทุกคน
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาคำขอจดทะเบียน และเอกสารประกอบการจดทะเบียนแล้ว ถ้าถูกต้องไม่มีอะไรต้องแก้ไข ก็จะสั่งให้ชำระค่าธรรมเนียม ผู้เริ่มก่อการที่ขดจดทะเบียนตามทุนที่ขอจดทะเบียน คือทุนจดทะเบียนทุกๆ 100,000 บาท คิดค่าธรรมเนียม50 บาท เศษของหนึ่งแสนบาท คิดเท่ากับหนึ่งแสนบาท และสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อชำระค่าธรรมเนียมแล้ว นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้

ผู้ก่อการต้องทำอะไรบ้าง

3. การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หลังจากที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิให้แล้ว ผู้เริ่มก่อการ จะต้องหาทุนมาใช้ในกิจการของบริษัท ตามจำนวนที่ได้ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ ซึ่งการหาทุน หรือระดมทุนกระทำได้โดยการขายหุ้น ผู้เริ่มก่อการที่เป็นผู้ดำเนินกิจการอาจจะเข้าซื้อกันเอง หรืออาจจะชักชวนเสนอขายให้กบบุคคลที่สนใจ ให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยก็ได้ แต่อย่าลืมว่า ผู้เริ่มก่อการที่มีรายชื่ออยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิ จะต้องเข้าซื้อหุ้นของบริษัท อย่างน้อยคนละ 1 หุ้น เมื่อมีผู้เข้าซื้อหุ้นกันจนครบตามมูลค่าแล้ว ก็จะต้องจัดให้มีการประชุมผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นทั้งหมด เพื่อมาตกลงกันในเรื่องต่างๆ ของบริษัท โดยผู้เริ่มก่อการ จะออกหนังสือนัดประชุมนี้ เราเรียกว่า “การประชุมตั้งบริษัท” หนังสือนัดประชุมนี้ จะต้องออกก่อนวันประชุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ซึ่งกิจกรรมที่จะต้องทำให้ที่ประชุมจัดตั้งบริษัท มีดังนี้

ทำความตกลงกันเรื่องข้อบังคับของบริษัท ข้อบังคับนี้เปรียบเสมือนกฎกติกา หรือระเบียบของบริษัท ที่จะกำหนดว่าบริษัทจะดำเนินการอย่างไร ในลักษณะใด ข้อบังคับ จะมีความสำคัญมาก ต่อการดำเนินกิจการของบริษัท ที่ผู้ถือหุ้น และกรรมการบริษัท จะละเลยมิได้ เพราะข้อบังคับจะกล่าวถึงหุ้น และผู้ถือหุ้น การโอนหุ้น กรรมการบริษัท การประชุมบริษัท การเพิ่ม และการลดทุน การจ่ายเงินปันผล ฯลฯ
ให้สัตยาบันแก่บรรดาสัญญา ซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้ และค่าใช้จ่ายที่ผู้เริ่มก่อการ ได้ออกทดรองไปในการเริ่มก่อตั้งบริษัท เพราะก่อนที่บริษัทจะได้ก่อตั้งขึ้น ผู้เริ่มก่อการ อาจมีธุรกรรม หรือไปทำสัญญาบางอย่างเพื่อประโยชน์ของบริษัท เช่น ทำสัญญาเช่า สัญญาซื้อขายอุปกรณ์สำนักงาน หรือสัญญาจ้างพนักงาน ซึ่งสัญญาเหล่านี้ จะมีผลผูกพันบริษัท ได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทได้ให้สัตยาบัน หากบริษัทยังไม่ให้สัตยาบัน ธุรกรรมต่างๆ ที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไปก่อนที่จะมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผู้เริ่มก่อการยังคงต้องรับผิดชอบ เป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ที่ประชุมตั้งบริษัท อนุมัติเห็นชอบ หรือที่เรียกว่า การให้สัตยาบัน
การกำหนดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ หรือหุ้นสามัญ ที่ชำระด้วยอย่างอื่น นอกจากตัวเงิน เนื่องจากบางบริษัท อาจจะมีหุ้นสามัญเพียงประเภทเดียว หรือบางบริษัท อาจจะมีทั้งหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ์ หากมีหุ้นบุริมสิทธิ์ ก็ต้องกำหนดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ รวมทั้งกำหนดสภาพ และบุริมสิทธิ์แห่งหุ้นนั้นๆ ว่าเป็นสถานใดเพียงใด ในส่วนของหุ้นสามัญ ก็ต้องกำหนดจำนวนหุ้นสามัญ หากมีบางส่วนที่ต้องชำระเป็นอย่างอื่นนอกจากตัวเงิน ก็ต้องมาทำความตกลงกันในที่ประชุม
การเลือกตั้งกรรมการ และผู้สอบบัญชีชุดแรกของบริษัท และกำหนดอำนาจของบุคคลเหล่านั้นว่ามีอะไร และทำอะไรได้บ้าง
นอกจากนั้น ที่ประชุมอาจทำการพิจารณา และตกลงกันในเรื่องอื่นๆ ได้ตามแต่ที่ประชุมจะเห็นสมควร เมื่อประชุมจัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว และกรรมการได้รับชำระค่าหุ้น จากผู้เริ่มก่อการ และผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นครบถ้วนแล้ว คณะกรรมการชุดแรกของบริษัท จะต้องจัดทำคำของ และรายการจดทะเบียนพร้อมเอกสารประกอบ โดยกรรมการผู้มีอำนาจตามมติที่ประชุมตั้งบริษัท เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเอกสาร แล้วดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทนั้น ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 3 เดือน นับแต่วันประชุมตั้งบริษัท เมื่อเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาคำขอจดทะเบียน และเอกสารประกอบการจดทะเบียนแล้ว ถ้าถูกต้องไม่มีอะไรต้องแก้ไข ก็จะสั่งให้ชำระค่าธรรมเนียม โดยคิดค่าธรรมเนียม ตามทุนที่ขอจดทะเบียน คือทุนจดทะเบียนทุก ๆ 100,000 บาท คิดค่าธรรมเนียม 500 บาท เศษของหนึ่งแสนบาท คิดเท่ากับหนึ่งแสนบาท แต่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอยู่ที่ 5,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท เมื่อชำระค่าธรรมเนียมแล้ว นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้

ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2545

การดำเนินการจัดตั้งบริษัทจำกัด
ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดนั้น จะต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
(1) ต้องมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป เข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิขึ้น แล้วไปจดทะเบียน
(2) เมื่อได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่จะตั้งขึ้นนั้นมีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ
(3) ดำเนินการประชุมตั้งบริษัท โดยต้องส่งคำบอกกล่าวนัดประชุมให้ผู้จองทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุม
(4) เมื่อได้ประชุมตั้งบริษัท และที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป
(5) กรรมการบริษัทเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น (ทุนของบริษัทจะแบ่งเป็นกี่หุ้นก็ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท)
(6) เมื่อได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว กรรมการต้องไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน ภายหลังจากการประชุมตั้งบริษัท

การดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมหรือเลิกและชำระบัญชีบริษัทจำกัด
ในกรณีที่บริษัทจำกัดนั้นได้ตกลงที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรายการใด ๆ ที่ได้จดทะเบียนไว้ เป็นอย่างอื่น หรือผู้ถือหุ้นจะเลิกกิจการ ก็จะต้องไปดำเนินการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมรายการนั้น ๆ หรือจดทะเบียนเลิกและเสร็จการชำระบัญชี ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่ห้างนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่
การจดทะเบียนจัดตั้งและแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามวิธีและหลักเกณฑ์ที่กฎหมายและระเบียบของทางราชการได้กำหนดไว้

รายการจดทะเบียนที่บริษัทจะต้องจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม
3.1 การแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิก่อนการตั้งบริษัท
3.2 มติพิเศษของบริษัทให้
(1) เพิ่มทุน
(2) ลดทุน
(3) ควบบริษัท
3.3 ควบบริษัท
3.4 แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริดณห์สนธิภายหลังตั้งบริษัท
3.5 เพิ่มทุน
3.6 ลดทุน
3.7 กรรมการ
3.8 จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท
3.9 ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และ/หรือสำนักงานสาขา
3.10 ตราของบริษัท
3.11 รายการอื่นที่เห็นสมควรจะให้ประชาชนทราบ

วิธีการจดทะเบียน มีขั้นตอนดังนี้
(1) ในกรณีจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัท ให้ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการของบริษัทจะต้องขอตรวจและจองชื่อบริษัทเสียก่อนว่า ชื่อที่จะใช้นั้นจะซ้ำหรือคล้ายกับคนอื่นที่จดทะเบียนไว้ก่อนหรือไม่ เมื่อจองชื่อได้แล้วจะต้องขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ภายใน 30 วัน
(2) ซื้อคำขอและแบบพิมพ์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือสำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจทั้ง 7 แห่ง หรือสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด
(3) จัดทำคำขอจดทะเบียนและเอกสารประกอบคำขอยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อตรวจพิจารณา
(4) ชำระค่าธรรมเนียมตามใบสั่งของเจ้าหน้าที่
(5) ถ้าประสงค์จะได้หนังสือรับรองรายการในทะเบียน ให้ยื่นคำขอและชำระค่าธรรมเนียมต่อเจ้าหน้าที่
(6) รับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนและหนังสือรับรองรายการในทะเบียนได้

การลงลายมือชื่อของผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการ
การลงลายมือชื่อในคำขอจดทะเบียน ผู้เริ่มก่อการ กรรมการผู้ขอจดทะเบียนหรือผู้ชำระบัญชี ต้องลงลายมือชื่อด้วยตนเองต่อหน้านายทะเบียน
ในกรณีที่ไม่อาจลงลายมือชื่อต่อหน้านายทะเบียนได้ ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ให้ผู้ขอจดทะเบียนลงลายมือชื่อด้วยตนเองต่อหน้าบุคคลดังต่อไปนี้
1. กรณีลงลายมือชื่อในราชอาณาจักร
(1) พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งประจำอยู่ในท้องที่ที่ผู้ขอจดทะเบียนมีภูมิลำเนาอยู่
(2) สามัญสมาชิกหรือสมาชิกวิสามัญแห่งเนติบัณฑิตยสภา หรือ
(3) บุคคลอื่นตามที่นายทะเบียนกลางประกาศกำหนด
2. กรณีลงลายมือชื่อในต่างประเทศ
(1) เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของสถานฑูตไทยหรือสถานกงสุลไทย หรือหัวหน้าสำนักงานสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงาน ณ ประเทศนั้น หรือเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทนบุคคลดังกล่าว
(2) บุคคลซึ่งสามารถให้การรับรองที่สมบูรณ์ตามแบบของกฎหมายแห่งประเทศนั้น หรือ
(3) บุคคลที่ควรเชื่อถือได้สองคนมาลงลายชื่อรับรองต่อหน้านายทะเบียนว่าเป็นลายมือชื่อผู้นั้นจริง

สถานที่รับจดทะเบียน

1. สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร สามารถยื่นจดทะเบียนได้ที่สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 1-7 และส่วนจดทะเบียนกลาง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ถนนนนทบุรี 1 จังหวัดนนทบุรี หรือทางอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์ www.dbd.go.th
2. สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูมิกาค สามารถยื่นจดทะเบียนได้ที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดนั้นๆ หรือทางอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์ www.dbd.go.th

หน้าที่ของบริษัทจำกัด
(1) บริษัทจำกัด ต้องทำงบการเงินอย่างน้อยครั้งหนึ่งทุกรอบสิบสองเดือน โดยมีผู้ สอบบัญชีอย่างน้อยหนึ่งคนตรวจสอบ แล้วนำเสนอที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติงบการเงินภายใน 4 เดือน นับแต่วันปิดรอบปีบัญชี พร้อมทั้งยื่นงบการเงินต่อสำนักบริการข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือที่สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันอนุมัติงบการเงิน ทั้งนี้รวมถึงบริษัทที่แม้ว่าจะยังมิได้ประกอบกิจการก็ตาม จะต้องส่งงบการเงินด้วย มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท
(2) จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นและให้นำส่งต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร หรือที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดแล้วแต่กรณี ภายใน 14 วัน นับจากวันที่ประชุม มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
(3) ต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญ ภายหลัง 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียน เป็นนิติบุคคล และจัดประชุมครั้งต่อไปอย่างน้อย 1 ครั้ง ทุกระยะเวลา 12 เดือน
(4) ต้องจัดทำใบหุ้นมอบให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
(5) ต้องจัดทำสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท มิฉะนั้นมีความผิดต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

กิจการที่กฎหมายกำหนดระยะเวลาในการยื่นจดทะเบียน
(1) คำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 3 เดือน นับแต่วันประชุมตั้งบริษัท
(2) คำขอจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของบริษัทขึ้นใหม่ ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ตั้งกรรมการขึ้นใหม่
(3) คำขอจดทะเบียนมติพิเศษให้เพิ่มทุน หรือลดทุนของบริษัทจำกัด หรือให้ควบบริษัทจำกัด ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้มีการลงมติพิเศษ
(4) คำขอจดทะเบียนตั้งข้อบังคับขึ้นใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัทจำกัด ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้มีการลงมติพิเศษ
(5) คำขอจดทะเบียนควบบริษัทจำกัด ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้มีการควบบริษัทเข้ากัน
(6) คำขอจดทะเบียนเลิกบริษัทจำกัด ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่เลิกกัน
(7) คำขอจดทะเบียนเปลี่ยนตัวผู้ชำระบัญชี ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้เปลี่ยนตัว
(8) คำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจผู้ชำระบัญชี ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้มีการลงมติ หรือวันที่ที่ศาลได้มีคำพิพากษา
(9) คำขอจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีของบริษัทจำกัด ต้องยื่นขอจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมได้มีการลงมติ
(10) การยื่นรายงานการชำระบัญชีของบริษัทจำกัด ต้องยื่นทุกระยะ 3 เดือนครั้งหนึ่งนั้น ผู้ชำระบัญชีจะต้องยื่นรายงานการชำระบัญชี ภายใน 14 วัน นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน

ประเภทการจดทะเบียน *ท่านสามารถ Download แบบพิมพ์ไปใช้ในการจดทะเบียนได้หรือ
ขอรับแบบพิมพ์ได้ที่สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจหรือสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดทุกแห่ง

ประเภทการจดทะเบียน

หนังสือบริคณห์สนธิ
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.2 (ใช้ทั้งสองหน้า)
เอกสารประกอบรายการ : แบบ ว.
เอกสารประกอบ
แบบจองชื่อนิติบุคคล
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้เริ่มก่อการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างในการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ
แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิก่อนการตั้งบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.2 (ใช้เฉพาะหน้า 1)
เอกสารประกอบรายการ : แบบ ว. (ในกรณีแก้ไขวัตถุประสงค์)
เอกสารประกอบ
แบบจองชื่อนิติบุคคล
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้เริ่มก่อการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ตั้งบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.3 (ใช้ทั้ง 2หน้า)
เอกสารประกอบรายการ : แบบ ก.
เอกสารประกอบ
แบบ บอจ.5
สำเนาหนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท
สำเนารายงานการประชุมตั้งบริษัท
สำเนาข้อบังคับ (ถ้ามี)
หลักฐานการชำระค่าหุ้นของบริษัทอย่างใด อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เอกสารที่ทางธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของบริษัท หรือ
(2) ใบสำคัญแสดงการชำระค่าหุ้นของบริษัท หรือ
(3) หนังสือยืนยันการชำระค่าหุ้นและการเก็บรักษาค่าหุ้นของบริษัท
หนังสือบริคณห์สนธิฉบับตีพิมพ์ จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
ข้อบังคับฉบับตีพิมพ์ จำนวน (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
แบบ สสช. 1 จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด
มติพิเศษของบริษัทให้ เพิ่มทุน, ลดทุน, ควบบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.4
เอกสารประกอบรายการ : –
เอกสารประกอบ
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หลักฐานให้ความเห็นชอบแล้วจากกรมการประกันภัย (ใช้เฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ควบบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.3 (ใช้ทั้ง 2 หน้า)
เอกสารประกอบรายการ
แบบ ก.
แบบ ว.
เอกสารประกอบ
แบบ บอจ.5 ของบริษัทใหม่ที่ควบกัน
แบบจองชื่อนิติบุคคล
หนังสือบริคณห์สนธิ ฉบับตีพิมพ์ จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
สำเนาข้อบังคับของบริษัทใหม่ (ถ้ามี)
ข้อบังคับฉบับตีพิมพ์ จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ) (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หลักฐานให้ความเห็นชอบแล้ว จากกรมประกันภัย (ใช้เฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย)
แบบ สสช. 1 จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนควบบริษัท

การแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิภายหลังตั้งบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.4
เอกสารประกอบรายการ :แบบ ว. (ใช้เฉพาะกรณีแก้ไขวัตถุประสงค์)
เอกสารประกอบ
แบบจองชื่อนิติบุคคล (ใช้เฉพาะกรณีแก้ไขเพิ่มเติมชื่อบริษัท)
หนังสือบริคณห์สนธิแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับตีพิมพ์ จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หลักฐานให้ความเห็นชอบแล้วจากกรมการประกันภัย (ใช้เฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำตัวอย่างการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อที่ 3
ตั้งข้อบังคับขึ้นใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัท
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.4
เอกสารประกอบรายการ : –
เอกสารประกอบ
ข้อบังคับที่ตั้งขึ้นใหม่หรือข้อบังคับที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับตีพิมพ์ จำนวน 2 ฉบับ (ภูมิภาคใช้ 3 ฉบับ)
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หลักฐานให้ความเห็นชอบแล้ว จากกรมการประกันภัย ในกรณีที่บริษัทประกอบธุรกิจประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย
บริษัทใดประสงค์จะจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเพื่อเปลี่ยนรอบปีบัญชีมาเป็นบัญชีที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม สิ้นสุด 31 ธันวาคม จะต้องแนบหนังสือขอเปลี่ยนรอบปีบัญชี ซึ่งระบุงวดปีบัญชีที่จะเริ่มทำการเปลี่ยนใหม่ ต่อสารวัตรใหญ่บัญชี หรือสารวัตรบัญชีพร้อมคำขอจดทะเบียน
ในกรณีขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ เพื่อเปลี่ยนรอบบัญชีแตกต่างไปจากวรรคหนึ่ง ให้ผู้ขอจดทะเบียน แนบหนังสืออนุญาตให้เปลี่ยนรอบปีบัญชีจากกรมสรรพากร หรือธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วแต่กรณีพร้อม คำขอจดทะเบียน
ในกรณีที่บริษัทยังไม่เคยดำเนินการเปิดรอบบัญชีเพื่อจัดทำงบดุลให้บริษัททำหนังสือยืนยันว่า ตั้งแต่จดทะเบียน จัดตั้งบริษัทมายังไม่เคยดำเนินการปิดบัญชี เพื่อจัดทำงบดุลประกอบคำขอจดทะเบียนด้วย
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
แก้ไขเพิ่มเติมบริษัท ได้แก่ เพิ่มทุน, ลดทุน, กรรมการ, จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท, ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และ/หรือสำนักงานสาขา, ตราของบริษัท,รายการอย่างอื่นซึ่งเห็นสมควรจะให้ทราบแก่ประชาชน
คำขอ : แบบ บอจ.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ บอจ. 1)
รายการ : แบบ บอจ.4
เอกสารประกอบรายการ : แบบ ก.(ใช้เฉพาะกรณีมีกรรมการเข้าใหม่)
เอกสารประกอบ
สำเนาบัตรประจำตัวของกรรมการที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หลักฐานการชำระค่าหุ้นของบริษัท อย่างใด อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (กรณีเพิ่มทุน)
(1) เอกสารที่ทางธนาคารออกให้เพื่อรับรอง หรือ แสดงฐานะการเงินของบริษัท
(2) ใบสำคัญแสดงการชำระค่าหุ้นของบริษัท
(3) หนังสือยืนยันการรับชำระค่าหุ้นและการเก็บรักษาค่าหุ้นของบริษัท
หลักฐานการอนุญาตให้ เพิ่มทุน ลดทุน แต่งตั้งกรรมการใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมสำนักงานแห่งใหญ่ และหรือสำนักงานสาขา จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทยหรือ คณะกรรมการกำกับกลักทรัพย์และตลาดกลักทรัพย์ หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หรือกรรมการประกันภัย แล้วแต่กรณี (ใช้เฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจ เงินทุน หรือหลักทรัพย์ หรือเครดิตฟองซิเอร์ หรือธนาคารพาณิชย์ หรือประกันภัย หรือนายหน้าประกันภัย)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการของบริษัท

ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัท

ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนลดทุนบริษัท
เลิกบริษัท
คำขอ : แบบ ลช. 1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ ลช. 1)
รายการ : แบบ ลช.2
เอกสารประกอบรายการ : –
เอกสารประกอบ
คำสั่งศาลให้เลิกบริษัท (ใช้ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้เลิก)
สำเนารายงานการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรกและครั้งหลังซึ่งมีมติให้เลิกบริษัท โดยมีกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัทตามที่จดทะเบียนไว้ก่อนเลิกบริษัท ลงชื่อรับรองความถูกต้อง (เฉพาะกรณีผู้ชำระบัญชีมิใช่กรรมการผู้มีอำนาจ คนใดคนหนึ่งในจำนวนกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท ตามที่จดทะเบียนไว้ก่อนเลิกบริษัท)
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ชำระบัญชีที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนเลิกบริษัท
แก้ไขเพิ่มเติมการเลิกและชำระบัญชีของบริษัท
คำขอ : แบบ ลช.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ ลช. 1)
รายการ : แบบ ลช.2
เอกสารประกอบรายการ : –
เอกสารประกอบ
คำสั่งศาลให้เปลี่ยนตัวผู้ชำระบัญชี หรือกำหนดอำนาจผู้ชำระบัญชี (ถ้ามี)
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ชำระบัญชีที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูตัวอย่างการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมการเลิกบริษัท
เสร็จการชำระบัญชีบริษัท
คำขอ : แบบ ลช.1 , หน้าหนังสือรับรอง (ในการ Print-out หนังสือรับรอง ให้อยู่ด้านหลังของหน้าแบบ ลช. 1)
รายการ : แบบ ลช.5
เอกสารประกอบรายการ
แบบ ลช.3 พร้อมเอกสารประกอบ
แบบ ลช.6
เอกสารประกอบ
สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ชำระบัญชีที่ลงชื่อในคำขอจดทะเบียน
สำเนาบัตรทนายความหรือหลักฐานการเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภาของผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)
แบบรับรองการตรวจสอบบัญชีของกรมสรรพากร
หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ดูคำแนะนำและตัวอย่างการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีบริษัท
(สามารถเข้าไป Download แบบฟอร์มได้ที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า http://www.dbd.go.th/thai/register/detail5_b.phtml

ที่มา : http://smesmart.is.in.th/

Tags:

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *