สุขใจเมื่อได้รัก “งานที่ทำ”

สุขใจเมื่อได้รัก “งานที่ทำ”

วันที่ : 7 กุมภาพันธ์ 2551 นิตยสาร/หนังสือพิมพ์ : งานอัพเกรด

มีคำกล่าวว่า

หากคุณต้องการมีความสุขเป็นเวลา 1 ชั่วโมง … ให้หลับสักงีบ

หากคุณต้องการความสุขเป็นเวลา 1 วัน … ให้ไปปิกนิกนอกบ้าน

หากคุณต้องการมีความสุขเป็นเวลา 1 สัปดาห์ … ให้ไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด

หากคุณต้องการมีความสุขเป็นเวลา 1 เดือน … ให้แต่งงาน

หากคุณต้องการมีความสุขเป็นเวลา 1 ปี … ให้รับมรดก ทรัพย์สินเงินทอง

หากคุณต้องการมีความสุขตลอดชั่วชีวิต… จงเรียนรู้ที่จะรักงานที่คุณทำ

“ความสุข” เป็นสิ่งที่ทุกคนกำลังโหยหาและต้องการมาไว้ในครอบครอง คนแต่ละคนมีมุมมองในเรื่องความสุขที่แตกต่างกันไป จากการเปรียบเปรยข้างต้น บ้างก็ว่าความสุขเกิดจากการนอนพักผ่อน การไปท่องเที่ยว การแต่งงาน การได้ทรัพย์สินเงินทอง แต่ความสุขที่เกิดมาจากสาเหตุที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสุขที่มีอายุสั้น ไม่ยั่งยืนแต่อย่างใด แต่หากเราปรารถนาให้ความสุขอยู่เคียงคู่กับเราตลอดชีวิตนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้จักที่จะ “รักงานที่ทำ”

“การทำงาน คือ การใช้ชีวิต” เนื่องจากเวลาในชีวิตส่วนใหญ่ของเรานั้นถูกใช้ไปกับการทำงานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นงานประจำ งานส่วนตัว งานบ้าน งานในที่ทำงาน ฯลฯ ดังนั้นหากตลอดชั่วโมงการทำงานของเราเต็มไปด้วยความฝืนใจ จำใจ แล้ว ทั้งชีวิตย่อมหาความสุขได้ยาก

คนจำนวนมากมักมีความคิดว่าเงื่อนไขในการทำงานอย่างมีความสุขนั้นงานที่ทำต้องเป็นงานที่รักที่ชอบ ต้องเป็นงานที่ไม่เครียด ไม่มีแรงกดดัน ต้องเป็นงานที่สบาย ๆ ไม่ชอบงานหนัก ต้องเป็นงานที่ทำแล้วสบายใจ เพื่อนร่วมงานคนรอบข้างที่รายล้อมล้วนแล้วแต่เป็นคนดี คนน่ารัก ไม่มีปัญหาความขัดแย้งในการทำงานเลย ต้องเป็นงานที่รายได้ดี ต้องเป็นงานที่ก้าวหน้า สถานที่ทำงานต้องมีบรรยากาศที่ดี ฯลฯ เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็น “อุดมคติ” ที่หาได้ยากยิ่งว่าจะมีงานใดตรงตามเงื่อนไข “ความสุข” ของเราทุกประการ เนื่องจากในชีวิตจริงบางครั้งเราไม่สามารถที่จะเลือกงานหรือปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในการทำงานให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการได้ ดังนั้นหากเราต้องการมีความสุขในชีวิตการทำงานแล้วสิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ การเปลี่ยนทัศนคติมุมมองต่องานที่เราทำนั่นเอง

โดยทัศนคติมุมมองที่สำคัญต่อการสร้างสุขในการทำงานที่เราทุกคนควรมีนั้นได้แก่

มองการทำงานเหมือนกับการพักผ่อน …คนเราถ้าทำในสิ่งที่ตนเองรัก ย่อมมีแรงบันดาลใจสูงส่งที่จะทำให้สำเร็จ แม้ว่างานนั้นจะยาก หรือหนักหนาสาหัสเพียงไร แต่เราจะรู้สึกสนุกมากกว่ารู้สึกว่าเป็นภาระ ในทางตรงกันข้าม หากเราต้องทำอะไรที่เราไม่ได้รักและไม่ได้เห็นคุณค่า สิ่งที่ทำย่อมเป็นภาระหนักมากกว่าจะมีความสุข เราจะแบ่งแยกงานกับการพักผ่อนทันที ผมพูดเปรียบเปรยอยู่เสมอว่า เรามักจะมองว่าการตีกอล์ฟนั้นสนุกสนาน แต่การกวาดบ้านเป็นงานหนักที่น่าเบื่อหน่าย ทั้ง ๆ ที่การทำสิ่งเหล่านี้ก็ใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกัน เหนื่อยเหมือน ๆ กัน แต่ถ้าให้เลือกคนจะเลือกตีกอล์ฟมากกว่ากวาดบ้าน เพราะสนุกกว่า

ดังนั้นหากเราทำงานด้วยแรงจูงใจคือความรักและเห็นคุณค่าในงานที่ทำ เราย่อมสามารถ บูรณาการ งาน กับ การพักผ่อน ให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ เพราะงานไม่ใช่ภาระหนักที่ถูกบังคับให้ทำ แต่กลายเป็นภาระใจที่อยากจะทำให้สำเร็จ จึงยินดีทุ่มเทเวลา ทุ่มเทกำลังสมอง กำลังกาย เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แม้อาจจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ไม่มีความคิดว่าจะต้องละทิ้งงานชั่วคราวเพื่อไปพักผ่อน เนื่องจากมีมุมมองต่องานและการพักผ่อนเป็นเรื่องเดียวกัน ก่อให้เกิดความสุขใจได้เหมือน ๆ กัน

มองการทำงานเหมือนกับการได้ท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้าง … งานที่เราทำไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตามล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเปิดโลกทัศน์ความคิดของเราให้กว้างมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากเป็นประสบการณ์จริงที่เราได้รับผ่านการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้จักคนรอบข้าง เจ้านาย เพื่อนที่ทำงาน ลูกค้าที่เราไปติดต่องาน รวมทั้งการรู้จักสถานที่ใหม่ ๆ ทั้งในระหว่างการเดินทาง ที่ทำงาน หรือในกรณีพิเศษที่ต้องไปติดต่อลูกค้า การทำงานนอกสถานที่ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มอบประสบการณ์ชีวิตใหม่ ๆ ให้เราเสมอ เพราะวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่เหมือนกันสักวันเดียว งานที่เราทำในแต่ละวันล้วนแล้วแต่ทำให้เราได้ท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้างเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ เสมอ

มองการทำงานเหมือนกับการค้นหาขุมทรัพย์ … คติพจน์ประจำใจของผมคือ “มีกำไรอยู่ในงานทุกอย่างเสมอ” ไม่ว่างานนั้นเราจะรู้สึกว่าน่าเบื่อหรือซ้ำซากจำเจเพียงใดก็ตาม ขอเพียงแค่เราเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่มีอคติหรือมีความคิดแง่ลบต่องานที่เราทำมาเป็นการคิดแง่บวกพยายามค้นหาสิ่งดีจากงานที่ทำแล้ว เราจะพบว่างานต่าง ๆ ที่ทำในแต่ละวันนั้นล้วนแล้วแต่ซ่อนสิ่งดีเปรียบได้กับการซ่อนขุมทรัพย์มากมายมหาศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึง เพื่อรอให้เราไปค้นพบและนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น ขุมทรัพย์ความรู้ ความเข้าใจในงานที่เราทำอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวันผ่านประสบการณ์การทำงานซึ่งจะสะสมเป็นต้นทุนทางปัญญาให้กับเราต่อไปในภายภาคหน้าอย่างที่มีมีใครสามารถแย่งชิงไปได้ ขุมทรัพย์ในการพัฒนาลักษณะชีวิตในด้านต่าง ๆ อาทิ พัฒนาความอดทนในการทำงาน พัฒนาทักษะการเข้าสังคม พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาเชาว์อารมณ์ ผ่านปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจาการทำงาน เพื่อการสร้างชีวิตเราให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมที่จะเผชิญต่องานที่ยากลำบาก ปัญหา แรงกดดันต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหรือในยามที่ต้องรับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงขึ้นในการทำงาน

ความสุขที่คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไขว่คว้าต้องการมาครอบครองนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุขในการทำงานนั้นเราสามารถสร้างได้โดยการปรับเปลี่ยนทัศนคติมุมมองเกี่ยวกับงานที่ทำให้เป็นทัศนคติมุมมองเชิงบวกและค้นหาสิ่งดีที่ซ่อนอยู่ในงานนั้น แล้วเราจะพบว่างานทุกอย่างที่เราจับต้องหรือได้ทำนั้นล้วนแล้วแต่สามารถนำมาซึ่งความสุขสำราญในชีวิตได้เสมอ

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *