ถึงเวลาปฏิรูประบบสหกรณ์

ถึงเวลาปฏิรูประบบสหกรณ์

ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเปิดเสรีมากขึ้น บทบาทภาคเอกชนทวีความสำคัญมากขึ้น โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า การเงิน และบริการที่ทันสมัยได้แพร่ขยายมากขึ้น และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบสหกรณ์จึงถูกคุกคามจากการแข่งขันของภาคธุรกิจ

            ที่ผ่านมาบทบาทของสหกรณ์ลดน้อยถอยลง แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้รัฐบาลให้การส่งเสริมระบบสหกรณ์ แต่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ใคร่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสหกรณ์มากนัก

            การที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้รัฐบาลส่งเสริมระบบสหกรณ์เช่นเดียวกันจึงไม่ได้เป็นหลักประกันว่า ระบบสหกรณ์จะได้รับความสนใจจากฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น ระบบสหกรณ์จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาตนเองให้สามารถแข่งขันกับภาคธุรกิจอื่น ๆ ได้ โดยผมขอเสนอแนวทางปฏิรูประบบสหกรณ์ดังนี้
 
            ทำให้สหกรณ์เป็นกระแสหลักของการพัฒนาประเทศ โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งและอำนาจต่อรองของกระบวนการสหกรณ์ รวมทั้งสร้างเครือข่ายกับนักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน สื่อสารมวลชน และองค์กรต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนอุดมการณ์และการดำเนินงานของสหกรณ์ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อทำให้สมาชิกสหกรณ์ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการจูงใจให้ประชาชนเข้าเป็นสมาชิกของสหกรณ์
 
            ตลอดจนผลักดันและพัฒนาให้กระบวนการสหกรณ์มีบทบาทและฐานะทั้งในเชิงกฎหมายและการยอมรับจากสังคมเทียบเท่ากับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นช่องทางในการเสนอแนะนโยบายและมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบาย และการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ รวมทั้งพัฒนาบทบาทในการเสนอความเห็นต่อสาธารณะในประเด็นเชิงนโยบายที่มีผลกระทบต่อกระบวนการสหกรณ์
 
            สร้างมาตรฐานด้านต่าง ๆ ของกระบวนการสหกรณ์ (ISO สหกรณ์)
 
            การดำเนินงานที่ขาดมาตรฐานเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สหกรณ์หลายแห่งยังอ่อนแอและขาดความน่าเชื่อถือ การสร้างมาตรฐานของกระบวนการสหกรณ์ หรือ ISO สหกรณ์ เป็นมาตรการสำคัญในการช่วยพัฒนาสหกรณ์ในภาพรวม นอกจากนี้ระบบสหกรณ์ควรมีการพัฒนา cooperative governance หรือ good governance เพราะการรวมตัวกันของสมาชิกสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ควรเกิดขึ้นจากพื้นฐานความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างสมาชิก
 
            กระบวนการสหกรณ์ควรพัฒนามาตรฐานโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น  การพัฒนาสหกรณ์ต้นแบบ การพัฒนาเป็นระบบแฟรนไชส์ของสหกรณ์ (โดยไม่แสวงหากำไร) การจัดทำดัชนีชี้วัดคุณภาพของสหกรณ์ด้านต่าง ๆ การจัดทำการตรวจสอบและประเมินคุณภาพสหกรณ์และจัดอันดับสหกรณ์ และสร้างเงื่อนไขในการจัดสรรงบประมาณและการให้รางวัล โดยพิจารณาจากดัชนีต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นต้น
 
            นอกจากนี้ สหกรณ์ทั้งระบบควรมีการพัฒนามาตรฐานการให้บริการให้เป็นระบบเดียวกันสามารถเชื่อมโยงบริการร่วมกันได้ง่าย การพัฒนาฐานข้อมูลรวมเกี่ยวกับการรับบริการของสมาชิกหรือเครดิตบูโรของระบบสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์สามารถตรวจสอบความเสี่ยงของสมาชิกแต่ละคนได้ (โดยเฉพาะครูที่กู้เงินจากสหกรณ์หลายแห่ง) รวมทั้งการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลเพื่อให้สหกรณ์มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ
 
            สนับสนุนการพัฒนาสหกรณ์ตามจุดแข็งของแต่ละสหกรณ์
 
            ในภาวะเศรษฐกิจที่สหกรณ์ต้องเผชิญการแข่งขันกับภาคธุรกิจและธุรกิจจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการแข่งขันกับธุรกิจการค้าสมัยใหม่ ธุรกิจบริการสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) สหกรณ์ไม่ควรแข่งขันแบบตรงไปตรงมากับธุรกิจเหล่านี้ เพราะสหกรณ์จะแข่งขันได้ยาก เนื่องจากสหกรณ์เปรียบเหมือนธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถต่อกรกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ อันเกิดจากมีเงินทุนน้อยกว่า ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้อยกว่า และขาดแคลนเทคโนโลยี
 
            ฉะนั้น สหกรณ์ควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันให้เหมาะสมกับสภาวะการแข่งขันและสภาพของสหกรณ์แต่ละแห่ง โดยสหกรณ์ขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้วจะได้รับการพัฒนาให้เป็นสหกรณ์แบบครบวงจร (universal cooperatives) ที่ทำธุรกิจหลากหลายประเภท ส่วนสหกรณ์อื่นที่มีขนาดเล็กควรมีการพัฒนาตามจุดแข็งของสหกรณ์แต่ละแห่ง (specialized cooperatives) และพยายามหาช่องว่างการตลาด (niche market) ที่แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
 
            สร้างนวัตกรรมของสหกรณ์
 
            ในโลกที่กำลังพัฒนาไปสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ การดำเนินชีวิตและการแข่งขันทางธุรกิจต้องพึ่งพานวัตกรรมมากขึ้น เพราะประชาชนมีความสนใจและต้องการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนสินค้าและบริการที่มีองค์ประกอบของนวัตกรรมมากขึ้น ขณะที่องค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากสหกรณ์ขาดการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรม อาจทำให้ระบบสหกรณ์สูญหายไปในที่สุด
 
            ดังนั้น กระบวนการสหกรณ์ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของสหกรณ์ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้หลักการสหกรณ์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมอย่างครบวงจร และการประยุกต์ใช้หลักการสหกรณ์ในสถานประกอบการ สถานศึกษา รวมทั้งการสนับสนุนให้มีมหาวิทยาลัยสหกรณ์หรือสถาบันการศึกษาวิจัยด้านสหกรณ์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยให้สหกรณ์เป็นศูนย์กลาง เช่น วิศวกรรมสหกรณ์ บัญชีสหกรณ์ บริหารธุรกิจสหกรณ์ การเงินสหกรณ์ เศรษฐศาสตร์สหกรณ์ เป็นต้น
 
            ยกระดับสหกรณ์ให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน
 
            อุดมการณ์ของสหกรณ์ไม่ใช่เพียงการตอบสนองความต้องการในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการตอบสนองความต้องการในเชิงการเมืองและสังคมด้วย ดังนั้น การพัฒนาการทำงานของสหกรณ์ควรคำนึงถึงการบริการที่ครอบคลุมความต้องการด้านอื่น ๆ ของสมาชิก และบูรณาการการดำเนินงานของสหกรณ์ให้สามารถตอบสนองเป้าหมายทั้งในเชิง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับภาคธุรกิจและภาคสังคมด้วย
 
            ตัวอย่างประการหนึ่งที่จะทำให้สหกรณ์สามารถแสดงบทบาทเป็นศูนย์กลางของชุมชนได้ คือ การพัฒนาสหกรณ์ให้เป็นศูนย์ข้อมูลและเครือข่ายข้อมูลทางเศรษฐกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนและกระจายข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญต่อการวางแผนและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสมาชิกสหกรณ์ และทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจแก่สมาชิก
 
            การดำเนินการของสหกรณ์แต่ละแห่งควรมีการปรึกษาหารือและได้รับการสนับสนุนให้มีที่ปรึกษาในการวางยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงาน เช่น ควรได้รับการสนับสนุนจากใครในชุมชน ควรจัดตั้งสำนักงานสหกรณ์ที่จุดใดของชุมชน ควรดำเนินกิจกรรมอะไร ควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกไปในทิศทางใด เป็นต้น เพื่อผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน ตลอดจนสนับสนุนด้านต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนและยุทธศาสตร์นั้นจนสำเร็จ 
 
            หากสหกรณ์มีการปฏิรูปตัวเองอย่างจริงจัง ตามข้อเสนอต่าง ๆ ข้างต้น  ผมเชื่อว่าสหกรณ์จะเป็นเครื่องจักรที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในอนาคตอย่างแน่นอน 
 
* นำมาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่5 มีนาคม 2551

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *