'ฉลาด+ขยัน' สูตรความสำเร็จ ฉบับ ประทีป ตั้งมติธรรม
|‘ฉลาด+ขยัน’ สูตรความสำเร็จ ฉบับ ประทีป ตั้งมติธรรม
ในแวดวงนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยชื่อของ “ประทีป ตั้งมติธรรม” ที่มาพร้อมกับ”ศุภาลัย” แม้การดำเนินธุรกิจตลอดช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของวงการในเรื่องของรายได้ และขนาดธุรกิจ แต่ก็สามารถสร้างความสำเร็จ จากการเติบโตที่โดดเด่นในด้านการบริหารงานแบบล้ำสมัย ที่เน้น” ความคล่องตัว และยืดหยุ่น” และการสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ ที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค
ทำให้วันนี้ของ “ประทีป ตั้งมติธรรม” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ได้รับการยอมรับในฐานะนักบุกเบิก นักคิด นักปฏิบัติ และนักพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ โดยเฉพาะแนวคิด “บ้านประหยัดพลังงาน” และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง จนกลายเป็นกรณีศึกษา และต้นแบบการทำธุรกิจที่น่าสนใจ “สิ่งที่ผมยึดปฏิบัติมาโดยตลอดคือ โครงการใหม่ๆที่ทำ ผมจะเน้นในเรื่อง ทำแล้วต้องดีกว่าเก่าเสมอ ซึ่งเป็นการพัฒนาการออกแบบที่จะต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆอยู่เสมอ”
จากตัวเลขการดำเนินงานในปี 2550 บมจ. ศุภาลัย มีสินทรัพย์รวม 10,090 ล้านบาท ตัวเลขระยะ 5 ปี(2546-2550) มีกำไรสุทธิเฉลี่ย ปีละ 844 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 25.87% และผลตอบแทนต่อทรัพย์สินเฉลี่ย 13.05% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับแถวหน้าในธุรกิจเดียวกัน
โดยปัจจุบันการพัฒนาอสังหาฯของศุภาลัย มีทั้งรูปแบบ บ้านจัดสรร อาคารชุด อาคารสำนักงาน อาคารแนวราบและแนวสูง บ้านพักตากอากาศ โรงแรม และศูนย์การค้า ที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ อย่างเดียวที่ไม่ทำคือ นิคมอุตสาหกรรม ส่วนลูกค้าหลัก คือกลุ่มรายได้ปานกลางและ สูง
และจากประสบการณ์ผ่านช่วงอสังหาฯไทยรุ่งโรจน์และตกต่ำมาหลายครั้ง ประทีป คาดการณ์ฟันธงว่า ปี 2551 จะเป็นปีทอง ที่ ศุภาลัย จะทำสถิติรายได้พุ่งสูงสุด หรือมียอดขายทั้งปีที่ 9,999 ล้านบาท จากปัจจัยเอื้อ ทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จากมาตรการลดภาษีธุรกิจเฉพาะลงจาก 3.3% เหลือ 0.1% และการลดภาษีนิติบุคคลในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจาก 30% เหลือ 25%
ประทีปถือเป็นอีกคนหนึ่งที่คลุกคลีในวงการก่อสร้างมาตั้งแต่เด็ก หรือมี ดีเอ็นเอ ด้านนี้ ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2491 พ่อเป็นอดีตพนักงานขายวัสดุก่อสร้างจนได้ขึ้นเป็นผู้จัดการทั่วไป ภายหลังหันมาเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างเอง ชื่อ “เกี้ยนตัง” ในวัยเด็ก ประทีปชอบวาดรูปมาก จนเข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบก็เริ่มฉายแววสนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และมักจะชวนเพื่อนไปอ่านหนังสือการออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ห้องสมุด
บริติชเคาน์ซิล ใกล้โรงเรียนบ่อยๆ เมื่อเรียนจบมัธยมจึงเลือกเรียนต่อ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบเกียรตินิยมอันดับสอง ในปี 2516
เริ่มต้นทำงานเป็นสถาปนิก ที่ บริษัท อีอีซี จำกัด หลังจากนั้นอยากเรียนรู้ระบบงานญี่ปุ่นจึงย้ายไปทำที่ บริษัท โอบายาชิ กิมิ จำกัด ต่อมาสนใจเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่จึงตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ University of Illinois ที่ Urbana Champaign โดยเลือกเรียนสาขา Housing เรียนแค่ปีเดียวก็จบหลักสูตร M.Arch เกียรตินิยม “ที่เลือกไปเรียนต่อที่อเมริกาเพราะเป็นประเทศที่มีสถาปัตยกรรมยุคใหม่ เยอะที่สุด เพราะว่า อเมริกา เป็นเจ้าเศรษฐกิจของโลก เจริญที่สุด ก้าวหน้าที่สุด และรวยที่สุด รวมทั้งเรื่องภาษาด้วย”
หลังจากนั้นก็ทำงานหาประสบการณ์ออกแบบที่ บริษัท Edwards & Dankert, Architects & Planners และถือโอกาสศึกษาดูงานอาคารสูงของโลก เช่น เวิลด์
เทรดเซ็นเตอร์ เซียร์ทาวเวอร์ รวมทั้งที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้าต่างๆ ไปด้วย
พอกลับมาไทย ปี 2520 ประทีปก็เปิด บริษัท อาคิเทค เจอรัล ดีไซน์ แอนด์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด ต่อมาพี่ชาย(ชวน) ให้ร่วมทุนตั้ง บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด(มหาชน) โดยประทีปนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นช่วงที่เขาได้สร้างผลงานโดดเด่น จากโครงการปทุมวันเพลสคอนโดมิเนียม ปี 2525 ด้วยจุดขายที่แตกต่างและนวัตกรรมการเงิน จนได้รางวัลนักการตลาดดีเด่น
จนถึงปี 2532 ประทีปแยกตัวมาตั้ง บริษัท ศุภาลัย จำกัด ซึ่งเป็นช่วงอสังหาฯ ขยายตัวสูง “ผมใช้ชื่อ “ศุภาลัย” ซึ่งแปลว่า “บ้านที่ดี” มาตั้งเป็นชื่อบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่จะสร้างบ้านให้แก่ลูกค้าอย่างที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ครอบครัวนั้นๆอยู่กันอย่างมีความสุข”หลังจากนั้น 3 ปีเขาก็นำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ”
ประทีปยอมรับด้วยว่าการได้ทำในสิ่งที่ชอบ นอกจากทำงานสนุก มีความสุขแล้ว ยังสามารถคิดเรื่องใหม่ๆได้เรื่อยๆ และการเป็นสถาปนิก ยังช่วยสร้างข้อได้เปรียบ ในเรื่องการตัดสินใจและคิดคำนวณต้นทุนได้เร็ว ” ตอนนี้การออกแบบ เหมือนเป็นงานอดิเรกและการพักผ่อนไปแล้ว”
อย่างไรก็ตามผ่านประสบการณ์มา 60 ปี กว่าจะมาถึงวันนี้ ประทีปได้เรียนรู้จากประสบการณ์หลายๆด้านจากผู้ที่เขานำมาเป็น Role model เช่น ขงจื้อ เล่าจื๊อ และเหลี่ยวฝาน ที่สอนว่า “ทุกคนเป็นคนลิขิตชะตาชีวิตของตัวเอง” หรือ หลวงวิจิตรวาทการ ที่พัฒนาตัวเองจากเสมียนกระทรวงการต่างประเทศจนได้เป็นรัฐมนตรี หรือ โธมัส อัลวา เอดิสัน ที่ชอบคิดค้นอะไรใหม่ๆ รวมถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เขานำหลัก “อิทธิบาท 4” มาเป็นสูตรสร้างความสำเร็จให้องค์กร
พร้อมทั้งสร้างปรัชญาการทำงานที่ยึด SPL ได้แก่ ความเป็นเลิศ(Superiority) การเอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย(Profitability) และดำเนินธุรกิจต่อเนื่องในระยะยาว(Longevity)
นอกจากสิ่งข้างต้นแล้ว พนักงานจะต้องมีการพัฒนาตัวเอง โดยอธิบายว่า เคยเจอกับกรรมกรก่อสร้างที่พัฒนาตัวเองมาเป็นช่าง เป็นผู้รับเหมาใหญ่ ขณะที่บางคนเป็นบัณฑิตจบมหาวิทยาลัย จบปริญญาโท แต่มีปัญหาเอาตัวไม่รอดแล้วอ้างว่าดวงไม่ดี “วิธีพัฒนาตัวเอง ต้องพัฒนา ทั้งความรู้ ความสามารถ คุณภาพชีวิต และความน่าเชื่อถือ ต้องประกอบกัน และผมสอนคนอื่นอย่างไร ตัวผมเองก็ทำอย่างนั้น ผมจะเป็นต้นแบบให้ลูก
นอกจากนี้ยังมีข้อคิดสอนคนรุ่นใหม่ ประทีป ย้ำว่า “ในโลกนี้เราสามารถที่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้เสมอ คือความตั้งใจ ความพยายาม และรักในสิ่งที่ทำ เมื่อเราตั้งใจ และพยายามอยู่เรื่อยๆ ไตร่ตรองหาเหตุผลเสมอก็จะทำอะไรใหม่ๆได้ตลอด แล้วเราก็จะภูมิใจในสิ่งที่เราทำได้ ที่สำคัญทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเราก็จะได้ประโยชน์ด้วย และเมื่อเราคิดในสิ่งทีดี ทำในสิ่งที่ดี ก็จะได้สิ่งที่ดีๆ กลับ”มา
งานที่ท้าทายจากนี้ไป คือ อยากทำอะไรที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำให้เราพัฒนาได้เรื่อยๆ เพราะยังสนุกอยู่กับงาน ตราบใดที่สุขภาพยังโอเคอยู่ก็จะทำไปเรื่อยๆ
แม้ภาระในวันนี้จะเป็นทั้งผู้บริหาร นักการตลาดและสถาปนิก แต่ประทีปก็ยังมีเวลาได้พักผ่อนตามไลฟ์สไตล์วันว่าง ตั้งแต่เล่น จื้อกง โยคะ ฟิตเนส ว่ายน้ำ เล่นแบด ตีกอล์ฟ ที่เล่นหลายอย่างเพราะเล่นได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หรือเวลาฝนตก นอกจากนี้ก็อ่านหนังสือ ดูทีวี ท่องเที่ยวทุกรูปแบบ แต่ที่ชอบมากๆและทำมาตั้งแต่วัยหนุ่มคือการถ่ายภาพ และสะสมโมเดลบ้าน ฟังแล้วน่าอิจฉาที่ชีวิตมีแต่แฮปปี้สุดๆเล้ย ยยยยยยยยย