คิดบวก – คิดลบ

คิดบวก – คิดลบ
คิดบวก – Endorphin
คิดลบ – Adrenalin

ผมเป็นคนที่ช่างสังเกตตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากตอนเด็กผมเป็นคนคิดลบผมเลยไม่มีความเชื่อว่าความช่างสังเกตและการหาข้อสรุปจากการสังเกตของผมจะมีประโยชน์กับผู้อื่นได้ แต่หลังจากที่ผมเริ่มเป็นคนคิดบวกมากขึ้น ผมเริ่มที่จะคิดว่าความคิดของผมน่าจะมีประโยชน์มีผลดีต่อผู้อื่นได้ และเป็นเหตุผลที่ผมได้เริ่มต้นเขียน

ผมเป็นคนที่ป่วยบ่อยตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อนจนแขกต่างประเทศที่มาเยี่ยมผมทุกปี พูดว่าทุกครั้งที่มาก็พบว่าผมป่วยเป็นประจำและส่วนมากเป็นเรื่องอาการหวัดหรือไอ แต่หลังจากปี 2540 ผมได้บริหารการป่วยของผมโดยการคิดบวกเกี่ยวกับสุขภาพของผมและออกกำลังกายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ การป่วยของผมลดลงเหลือประมาณ 5% ของที่เคยเป็นมา

ในช่วงเวลาที่ผมบริหารความป่วยของผม ผมได้สังเกตเพื่อนร่วมงานของผมซึ่งป่วยเป็นประจำเหมือนที่ผมเคยเป็น และได้เชียร์ให้เขาคิดบวกกับสุขภาพของเขาและออกกำลังกายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ หลังจากหลายๆ คนได้ทำตามคำแนะนำของผม สุขภาพของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดรวมทั้งความมั่นใจและความอึด (Stamina) แต่หลายๆ คนก็ไม่ได้ผล

ผมมีโปรแกรมให้ผู้บริหารพัฒนาสุขภาพของเขาดังนี้
1. บริษัทจะซื้อ Corporate Membership ที่บางกอกคลับซึ่งมีทั้งภัตตาคาร สปา และห้องออกกำลังกาย และผู้บริหารที่สมัครเข้ามาในโปรแกรมนี้ก็จะได้เป็น Corporate Member ของคลับ และสามารถใช้บริการต่างๆ ในคลับได้
2. มีกติกาว่าเขาจะไปออกกำลังกายในคลับนี้อย่างน้อย 6 ครั้งต่อเดือน และบันทึกจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญไปในตารางที่ผมจัดไว้
3. ถ้าทำตามกติกา บริษัทก็จะออกค่าสมาชิกรายเดือนให้ ถ้าทำไม่ได้ตามกติกาก็ต้องจ่ายเอง
4. ถ้าทำตามกติกาไม่ได้ถึง 3 เดือน Corporate Member นั้นจะถูกโอนไปให้ผู้บริหารระดับรองๆ หรือคนอื่นในระดับเดียวกัน
ผู้บริหารหลายคนรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะทำตามกติกาโดยโทษว่าต้องทำงานหนักหรือตารางงานไม่อำนวยให้มาออกกำลังกาย มีอยู่คนหนึ่งที่ออกกำลังกายอย่างหนักไปได้ไม่นานก็ไม่ไหว มีบางคนที่ผิดกติกาแต่ก็ไม่ยอมจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน พฤติกรรมของผู้บริหารทำให้ผมได้รู้จักและเข้าใจถึงสถานภาพทางกายและทางจิตใจของผู้บริหารเหล่านั้นมากขึ้น มีพวกที่รับปากว่าจะทำตามกติกาแต่ก็ไม่เคยโผล่มาเลยก็มี

พวกที่ยังรักษากติกาอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพในทางที่ดีขึ้นและส่งผลต่อการทำงานทั้งทางด้านความเชื่อมั่นในตัวเองและทางด้านความฮึดสู้เมื่อเทียบกับคนที่ไม่สามารถทำตามกติกา หรือคนที่ทำแค่พอผ่านกติกาเพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือน พอจะบอกได้เลยว่าพวกที่ทำไม่ได้แล้วเลิกไปนั้น ร่างกายจะอยู่ในขาลงและทรุดโทรมเหมือนกับเขาถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงตอนแก่

หลังจากที่สังเกตผู้บริหารที่ไม่สามรถทำตามกติกาได้พบว่าเขาเป็นคนคิดลบมาโดยตลอด หรือบางคนก็เป็นคนที่คิดลบมาพักใหญ่แล้ว เขาเหล่านี้ก็จะเป็นโรคโน่นโรคนี่ เมื่ออายุเกิน 50 ปี

ผมได้ข้อสรุปของผมเองว่า คนที่คิดลบนั้นความคิดของเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง ความกลัว ความพยาบาท หรือความอยุติธรรมต่างๆ เป็นต้น และความคิดพวกนี้ก็จะทำให้สารอะดรีนาลิน (Adrenalin) หลั่งโดยคำสั่งของสมองมาที่หมวกไตซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดความเจ็บป่วยต่างๆ มากขึ้น

ในทางตรงกันข้ามผู้บริหารที่สามารถรักษาวินัยในการออกกำลังกายและมีความสุขกับการมาออกกำลังกายที่คลับซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่คิดบวก หรือกลายเป็นคนที่คิดบวกมากขึ้นกว่าเดิม ความคิดของผู้บริหารเหล่านี้ก็จะเป็นเรื่องของความสนุกสนาน ความสุข ความรัก ความสำเร็จ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของการคิดบวกและสมองก็สั่งให้สารเอนโดฟิน (Endorphin) หลั่งซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

นี่เป็นความพยายามของผมที่จะทำให้คนที่คิดบวก ให้รักษาความคิดบวกไว้เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และอยากจะชี้ให้คนที่คิดลบเข้าใจเรื่องการคิดลบว่าทำให้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง

ที่มา นสพ. กรุงเทพธุรกิจ : คอลัมน์ 20 CEOs 20 IDEAs

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *