ขุรปุตตชาดกว่าด้วยทำตนให้ไร้ประโยชน์

ขุรปุตตชาดกว่าด้วยทำตนให้ไร้ประโยชน์

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าโลมเล้า จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือภิกษุ ได้ทราบว่าเธอกระสันอยากสึก เมื่อเธอทูลว่า จริง พระเจ้าข้า ครั้นเมื่อถูกตรัสถามอีกว่า เธอกระสันอยากสึก เพราะเหตุอะไร ? เมื่อเธอทูลว่า เพราะภรรยาเก่า พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เธอไม่เฉพาะในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอกำลังจะกระโดดเข้าไฟตายเพราะอาศัยหญิงนี้ แต่อาศัยบัณฑิตจึงได้ชีวิตไว้ดังนี้แล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:
ในอดีตกาล เมื่อพระราชาทรงพระนามว่า เสนกะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ให้พระองค์ทรงทำความเคารพ ครั้งนั้น พระเจ้าเสนกะทรงมีความรักใคร่กับด้วยนาคราชตัวหนึ่ง ได้ทราบว่า นาคราชนั้นออกจากนาคพิภพเที่ยวหาจับเหยื่อบนบกกิน ครั้งนั้น เด็กชาวบ้านเห็นมันแล้ว บอกกันว่า นี้งู! นี้งู!แล้วพากันเอาก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นตีงูนั้น
ในเวลานั้น พระราชาเสด็จสำราญที่พระราชอุทยาน ทรงเห็นดังนั้นจึงตรัสถามว่า เด็กเหล่านั้นทำอะไรกัน ? ครั้นเมื่อทรงทราบว่าเด็กเหล่านั้นกำลังจะฆ่างูตัวหนึ่ง จึงตรัสสั่งว่า พวกเอ็งอย่าฆ่า จงปล่อยมันไป แล้วทรงให้นาคราชนั้นหนีไปแล้ว นาคราชจึงได้มีชีวิตอยู่ แล้วกลับไปยังนาคพิภพ
ครั้นเวลาเที่ยงคืนพญานาคราชนั้นก็ได้ถือเอารัตนะมากมายจากนาคพิภพ เข้าไปยังพระที่นั่งสำหรับพระราชาบรรทม ทูลเกล้าถวายรัตนะเหล่านั้น แล้ว ทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าอาศัยพระองค์แล้วได้ชีวิตมา แล้วได้ทำมิตรภาพกับพระราชา จึงไปเฝ้าพระราชาบ่อยๆ
นาคราชนั้นได้ตั้งนาคมาณวิกานางหนึ่ง ผู้ไม่อิ่มในกามคุณ ในบรรดานางนาคมาณวิกาทั้งหลายของตนไว้ประจำราชสำนัก เพื่อประโยชน์แก่การรักษาพระองค์พระราชา เขาทูลว่า เมื่อใดพระองค์ไม่ทรงเห็นนาคมาณวิกาคนนั้น เมื่อนั้นพระองค์พึงทรงร่ายมนต์บทนี้ แล้วได้ถวายมนต์บทหนึ่งแด่พระองค์
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์เสด็จพระราชอุทยาน ทรงเล่นน้ำในสระโบกขรณี กับนางนาคมาณวิกา นางนาคมาณวิกาเห็นงูน้ำตัวหนึ่ง จึงเปลี่ยนแปลงร่างเป็นงู เสพกามกับงูตัวนั้น พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นนาคมาณวิกานั้น ทรงสงสัยว่า เธอไปไหนหนอ ? จึงทรงร่ายมนต์ แล้วทรงเห็นนางกำลังทำอนาจาร จึงทรงตีด้วยซีกไม้ไผ่ นางโกรธ จึงออกจากพระราชอุทยานนั้น ไปยังนาคพิภพ เมื่อถูกนาคราชถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงมา ?
ทูลว่า สหายของพระองค์ตีหลังหม่อมฉันผู้ไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน แล้วแสดงการตีให้ดู นาคราช ไม่ทราบตามความจริงเลย จึงเรียกนาคมาณพ ๔ ตนมา ส่งไปโดยดำรัสว่า สูเจ้าทั้งหลายจงไป จงพากันเข้าไปยังพระที่นั่งบรรทมของพระเจ้าเสนกะ แล้วทำลายพระที่นั่งนั้นให้เป็นเหมือนแกลบ ด้วยการพ่นพิษนั่นเอง
นาคมาณพเหล่านั้นพากันไปแล้ว ได้เข้าไปยังห้องในเวลาที่พระราชาทรงบรรทมบนพระยี่ภู่ที่สง่างาม ในเวลาที่นาคมาณพเหล่านั้นเข้าไปนั่นเอง พระราชาได้ตรัสถามพระราชเทวีว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เธอรู้ไหมว่าที่นางนาคมาณวิกาไปนั้นเพราะเหตุใด ?
พระราชเทวีทูลว่า หม่อมฉันไม่รู้เพคะ
พระราชาตรัสว่า วันนี้นาคมาณวิกานั้นได้กลับร่างของตนเป็นงู แล้วทำอนาจารกับงูน้ำตัวหนึ่ง ในเวลา เล่นน้ำในสระโบกขรณีของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นฉันจึงได้เอาซีกไม้ไผ่ ตีเขา เพื่อต้องการให้สำนึกว่า เจ้าอย่าทำอย่างนี้ เขาไปยังนาคพิภพ คงบอกอะไรอย่างอื่นแก่สหายของเรา แล้วทำลายมิตรภาพเสีย ภัยจักเกิดขึ้นแก่เรา
นาคมาณพทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงพากันกลับออกไปจากพระที่นั่งบรรทมนั้น แล้วไปยังนาคพิภพทูลเนื้อความนั้นแก่นาคราช ท้าวเธอถึงความสังเวช แล้วได้เสด็จมายังพระที่นั่งบรรทมของพระราชา ทูลให้ทราบเนื้อความนั้น ขอขมาพระองค์ แล้วได้ถวายมนต์ ชื่อว่า สรรพรุตชนนะ คือมนต์รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด โดยมุ่งหมายว่า นี้เป็นการขอขมาของเรา แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช มนต์นี้หาค่าบ่มิได้ ถ้าหากพระองค์จะได้ประทานมนต์นี้แก่ผู้อื่นไซร้ จะต้องทรงกระโดดเข้ากองไฟสวรรคต
พระราชา ทรงรับคำว่าดีแล้ว ต่อแต่นั้นมา แม้เสียงมดแดงพระองค์ก็ทรงทราบ วันหนึ่งเมื่อพระองค์ประทับนั่งที่ท้องพระโรง เสวยของเคี้ยวจิ้มน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำผึ้งน้ำอ้อยหยดหนึ่งและขนมชิ้นหนึ่งตกลงที่พื้น มดแดงตัวหนึ่ง เห็นหยดน้ำผึ้งเป็นต้นนั้น เที่ยวร้องบอกกันว่า ถาดน้ำผึ้งของหลวงแตกที่ท้องพระโรง หม้อน้ำอ้อย หม้อขนมคว่ำ ท่านทั้งหลายจงกินน้ำผึ้งน้ำอ้อยและขนม
พระราชาทรงสดับเสียงร้องบอกของมดแดงแล้ว ทรงพระสรวล พระราชเทวีประทับที่ใกล้เคียงพระราชา ทรงดำริว่า พระราชาทรงเห็นอะไรหนอ จึงทรงพระสรวล ?
เมื่อพระราชานั้น เสวยของเคี้ยว ทรงสรงสนานแล้ว ประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ แมลงวันตัวผู้พูดกับแมลงวันตัวเมีย ตัวหนึ่งว่ามาเถิดน้องเอ๋ย พวกเรามาอภิรมย์กันด้วยความยินดีด้วยกิเลส ลำดับนั้น แมลงวันตัวเมียพูดกับแมลงวันตัวผู้นั้นว่า คอยก่อนเถอะพี่นาย บัดนี้ ราชบุตรจะนำของหอมมาถวายพระราชา เมื่อพระองค์ทรงลูบไล้ ผงของหอมจักตกลงแทบบาทมูล ฉันจักร่อนถลาไป ณ ที่นั้นแล้วตัวฉันก็จะมีกลิ่นหอม ต่อจากนั้น เราก็จักนอนอภิรมย์กันเบื้องพระปฤษฎางค์ของพระราชา พระราชาทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ทรงพระสรวล ฝ่ายพระเทวีก็ทรงดำริอีกว่า พระราชาทรงเห็นอะไรหนอ จึงทรงพระสรวล ?
เมื่อพระราชาทรงเสวยพระกระยาหารเย็นอีก ภัตพิเศษก้อนหนึ่งหล่นที่พื้น มดแดงทั้งหลายก็ร้องบอกกันว่า หม้อพระกระยาหารในราชตระกูลแตกแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงพากันไปรับประทานภัตตาหารเถิด พระราชาครั้น ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงพระสรวลอีก ฝ่ายพระราชเทวี ทรงถือเอาช้อนทองอังคาสพระราชาอยู่ จึงทรงพระวิตกว่า พระราชาทรงเห็นอะไรหนอ จึงทรงพระสรวล ?
ในเวลาเสด็จขึ้นแท่นพระบรรทมกับพระราชา พระนางทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงพระสรวลเพราะเหตุอะไร ? พระองค์ตรัสว่า จะมีประโยชน์อะไรสำหรับเธอ เพราะเหตุที่ฉันหัวเราะ ครั้นถูกพระนางรบเร้าให้ตรัสบอกบ่อยๆ จึงบอกเรื่องที่ทรงรู้มนต์ที่ทำให้รู้เสียงสัตว์ พระเทวีภายหลังจึงทูลพระองค์ว่า ขอพระองค์จงประทานมนต์ที่ทำให้รู้เสียงสัตว์ของพระองค์แก่หม่อมฉัน
แม้ถูกพระราชาทรงห้ามว่า ไม่อาจให้ได้ ก็ทรงรบเร้าบ่อยๆ พระราชาจึงตรัสว่า ถ้าหากฉันจักให้มนต์นี้แก่เธอไซร้ ฉันก็จักตาย
พระนางทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถึงพระองค์จะสิ้นพระชนม์ ก็จงประทานแก่หม่อมฉัน
เพราะพระราชาเป็นผู้ชื่อว่าตกอยู่ในอำนาจสตรี จึงทรงรับคำว่า ดีละ แล้วทรงตัดสินพระทัยว่า เราจักให้มนต์แก่พระราชเทวี แล้วจึงจะเข้ากองไฟ ดังนี้แล้วได้เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยานด้วยราชรถ ขณะนั้นท้าวสักกะทรงตรวจดูสัตวโลกอยู่ ทรงเห็นเหตุการณ์นี้ แล้วทรงดำริว่า พระราชาเขลาองค์นี้เพราะเพื่อสตรีผู้หนึ่ง ถึงกับเสด็จไปด้วยหมายพระทัยว่า จักเข้ากองไฟ เราจักให้ชีวิตแก่เขา แล้วจึงทรงพาเอาอสุรกัญญา ทรงพระนามว่า สุชา มายังกรุงพาราณสี ทรงทำให้นางสุชาเป็นแพะตัวเมีย พระองค์เอง เป็นแพะตัวผู้ แล้วทรงอธิษฐานว่า ขออย่าให้มหาชนเห็น แล้วได้อยู่ข้างหน้าราชรถ
พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นแพะนั้น และม้าที่เทียมรถก็เห็นด้วย แต่ใครคนอื่นไม่เห็น แพะตัวผู้ทำท่าจะเสพเมถุนกับแพะตัวเมีย เพื่อจะสร้างเรื่องราวขึ้น ม้าเทียมรถตัวหนึ่งเห็นแพะนั้น จึงพูดว่า เจ้าเพื่อนแพะเอ๋ย เมื่อก่อนพวกเราได้ยินเขาเล่ากันว่า พวกแพะโง่ ไม่มีความละอาย แต่แกทำอนาจาร ที่สมควรจะต้องทำในที่ลับ นั้นต่อหน้าพวกเราทั้งหมดที่กำลังดูอยู่นั่นเองโดยไม่ละอาย คำที่พวกข้าพเจ้าได้ยินมาแต่ก่อนนั้น สมกับเหตุการณ์ที่ได้เห็นอยู่นี้ แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:
[๙๐๕] เป็นความจริงทีเดียว ที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า แพะเป็นสัตว์โง่เขลา
ดูเถิด แพะโง่เขลา มิได้รู้จักกรรมที่ควรทำในที่ลับและที่แจ้ง.
แพะได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:
[๙๐๖] แน่ะม้าผู้เป็นสหาย ท่านจงรู้เถิดว่า ท่านเป็นสัตว์โง่เขลา เพราะท่าน
นั่นแหละถูกเขาผูกด้วยเชือก มีปากคด ถูกปิดหน้า.
[๙๐๗] แน่ะสหาย ความโง่ของเจ้ายังมีอยู่อีก เจ้าเขาแก้ออกแล้วไม่หนีไปเสีย
นั่นและชื่อว่า เจ้ายังมีโง่อยู่อีก แน่ะสหาย พระเจ้าเสนกะที่เจ้าพา
ไปนั้นยังโง่ไปกว่าเจ้าเสียอีก.
พระราชาทรงเข้าพระทัยถ้อยคำของสัตว์ทั้ง ๒ ตัวนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อทรงสดับคำนั้น จึงทรงให้ขับรถไปค่อยๆ ฝ่ายม้าสินธพ ได้ฟังคำของแพะแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:
[๙๐๘] ดูกรพระยาแพะผู้สหาย ได้ยินว่า ท่านรู้ว่า เราเป็นสัตว์โง่เขลา แต่
พระเจ้าเสนกะ โง่เขลากว่า เพราะเหตุไรเล่า ขอเจ้าจงบอกเหตุที่เราถาม
นั้นเถิด?
แพะเมื่อจะบอกเหตุนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า:
[๙๐๙] พระเจ้าเสนกะได้มนต์วิเศษชื่อว่า สัพพรุทชานนมนต์ แล้วประทาน
มนต์นั้นแก่พระอัครมเหสี ทรงยอมสละพระองค์ ด้วยเหตุนั้น พระ
อัครมเหสีนั้น จักไม่เป็นพระเทวีของพระเจ้าเสนกะ เพราะฉะนั้น
พระเจ้าเสนกะจึงทรงโง่เขลากว่าท่าน.
พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า อชราชเอ๋ย ก็เจ้าแม้เมื่อจะทำความสวัสดีแก่เรา จักทำสิ่งนั้น ก่อนอื่นขอเจ้าจงบอกสิ่งที่ควรแก่สิ่งที่จะต้องทำแก่เรา
ครั้งนั้น อชราช (แพะ) จึงทูลกะพระราชานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ไม่มีผู้อื่นที่ชื่อว่า เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ยิ่งกว่าตน คนไม่ควรให้ตนพินาศ ไม่ควรละทิ้งยศที่ได้แล้ว เพราะอาศัยของรักอย่างเดียว ดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:
[๙๑๐] ข้าแต่จอมประชาชน บุคคลผู้เช่นกับพระองค์ ทำตนให้ไร้ประโยชน์
ด้วยคิดว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ชื่อว่า ไม่ซ่องเสพสิ่งที่เป็นที่รัก
ทั้งหลาย * ตนเท่านั้น ประเสริฐกว่าสิ่งที่ประเสริฐอย่างอื่น ภรรยาผู้เป็นที่
รักอันบุรุษผู้มีตนอันเจริญแล้วอาจจะได้ (หญิงที่รัก) ในภายหลัง.
พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้นต่อไป
*มีคำอธิบายว่า ข้าแต่จอมนรชนบุคคลผู้ดำรงอยู่ในความยิ่งใหญ่ด้วยยศ เช่นพระองค์ เพราะอาศัยหญิงที่เป็นที่รักคนหนึ่ง ถึงกับทอดทิ้งตน ที่เป็นที่รักอย่างยิ่งกว่าอย่างอื่น ไม่คบหาของรักเหล่านั้นเลยว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา
พระมหาสัตว์ได้ถวายโอวาทแด่พระราชา ด้วยประการอย่างนี้ พระราชาทรงพอพระทัย แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนอชราช ท่านมาจากที่ไหน ?
ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ข้าแต่มหาราช เราคือท้าวสักกะมาด้วยความอนุเคราะห์ท่าน เพื่อจะปลดเปลื้องท่านจากความตาย.
พระราชา ข้าแต่เทวราช ข้าพระองค์ได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่า ข้าพระองค์จักให้มนต์แก่พระเทวี บัดนี้ ข้าพระองค์จะกระทำอย่างไร ?
ท้าวสักกะ ดูก่อนมหาราช ภารกิจด้วยความพินาศจะไม่มีแก่ท่านทั้ง ๒ ถ้าท่านกล่าวว่า อุปจารแห่งศิลปะมีอยู่ แล้วให้คนคนหนึ่งเฆี่ยนพระราชเทวี ๒ – ๓ ครั้ง ด้วยอุบายนี้ นางจักไม่เรียน
พระราชาทรงรับเทพดำรัสว่า ดีแล้ว
พระมหาสัตว์ถวายโอวาทพระราชาแล้ว ได้เสด็จไปยังสถานที่ของพระองค์นั่นเอง พระราชาเสด็จไปถึงพระราชอุทยานแล้ว ตรัสสั่งให้หาพระราชเทวีมา แล้วตรัสถามว่า น้องนางเอ๋ย เธอจักเรียนมนต์หรือ
พระนางทูลว่า เพคะ ข้าแต่สมมติเทพ.
พระราชา ถ้ากระนั้น เราจะทำอุปจาระแห่งศิลปะ.
พระเทวี อุปจาระเป็นอย่างไร ?
พระราชา เมื่อเฆี่ยนที่หลัง ๑๐๐ ครั้ง เธอไม่ควรส่งเสียงร้อง.
พระนางทรงรับพระราชดำรัสว่า สาธุ เพราะอยากได้มนต์.
พระราชาตรัสสั่งให้เรียกเจ้าหน้าที่มาแล้วให้รับเอาหวายไปเฆี่ยนพระเทวี พระนางทรงทนทานการเฆี่ยน ๒ – ๓ ครั้งได้ ต่อจากนั้นไปทรงร้องว่า หม่อมฉันไม่ต้องการมนต์แล้ว ครั้งนั้นพระราชาจึงตรัสกะพระนางว่า เธอประสงค์จะเรียนมนต์ โดยให้ฉันตายไป แล้วทรงให้ถลกหนังที่พระขนองทิ้งออกไป นับแต่นั้นมา พระนางไม่อาจกราบทูลอีก.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันอยากสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประมวลชาดกลงไว้ว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้กระสันอยากสึกในบัดนี้ พระราชเทวีเป็นภรรยาเก่าของภิกษุนั้น ม้าเป็นพระสารีบุตร ส่วนท้าวสักกเทวราชเป็นเราตถาคต นั่นเอง ดังนี้แล.
จบ ขุรปุตตชาดก

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *