การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking) ตอน 3
การคิดเชิงประยุกต์ (Applicative Thinking) ตอน 3
สถานการณ์ที่ต้องคิดเชิงประยุกต์
1. สถานการณ์ที่ต้องตอบคำถามว่า “ใช้ ‘ทำ’ อะไรได้บ้าง” และ “รวมกันอย่างไรจึงเหมาะสม”
– ใช้ทักษะการแตกแขนง เพื่อใช้ประโยชน์เต็มศักยภาพ
การประยุกต์อาจทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยการหาทางเลือกอื่น ๆ ทั้งนี้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการพยายามคิดเพื่อหาทางใช้ประโยชน์ของสิ่งที่มีอยู่มากกว่าเดิม เพื่อใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
ตัวอย่าง
การแปรรูปสับปะรด ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น สับปะรดกวน สับปะรดอบแห้ง น้ำสับปะรด ฯลฯ นอกจากนี้ อาจนำคุณสมบัติบางอย่างไปใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ เช่น น้ำส้มสายชู กระดาษใยสับปะรด ผ้าใยสับปะรด หรือการนำเปลือกสับปะรดมาเป็นอาหารสัตว์ เป็นต้น
– คิดถึงการรวมกันของสิ่งที่ไม่เคยรวมกันมาก่อน
การคิดเชิงประยุกต์อาจเข้าไปมีบทบาทสำคัญต่อการคิดสร้างสรรค์ โดยขั้นแรกของการคิดสร้างสรรค์มักจะเริ่มต้นด้วยการระดมความคิดใหม่ ๆ ซึ่งการคิดเชิงประยุกต์ทำหน้าที่เป็นเหมือนขั้นที่สองของการคิดสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ ความเหมาะสมเมื่อนำมาใช้ในบริบทนั้น ๆ และพิจารณาว่าควรนำส่วนใดมาใช้ ควรปรับเปลี่ยนอย่างไร รวมถึงการวิเคราะห์ว่าเมื่อนำมาใช้แล้วจะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร
ตัวอย่าง
ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งต้องการให้บ้านของตนเองมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสอบในทุกพื้นที่ของบ้าน จึงสร้างบ้านโดยการประยุกต์วางบนมอเตอร์ม้าหมุนในสวนสนุกที่หมุนได้ 360 องศา ทำให้บ้านสามารถหมุนรอบตัวเองได้ จึงสามารถเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบอันเป็นการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
2. สถานการณ์ที่เราต้องตอบคำถามว่า “ใช้อะไร ‘ทดแทน’ ได้บ้าง”
– ทักษะการเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้งาน]
สถานการณ์ที่เกิดปัญหา เกิดภาวะความจำกัดของสิ่งที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา การคิดเชิงประยุกต์จะช่วยให้สามารถนำสิ่งที่มีอยู่มาใช้ทดแทนหรือปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม การคิดเชิงประยุกต์จะช่วย “กำจัด” ข้อจำกัดที่เกิดขึ้น ช่วยให้สามรรถใช้ในบริบทต่าง ๆ อันเป็นการพัฒนาความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งการคิดเชิงประยุกต์จะขยายความสามารถในการคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาทักษะการคิดเชิงประยุกต์ด้านต่าง ๆ
ตัวอย่าง
– ปากกา ประยุกต์เป็นที่เจาะรูกระดาษ
– เนคไท ประยุกต์เป็นเชือกผูกของ
– กระป๋องน้ำ ประยุกต์เป็นกระถางต้นไม้
– ผ้าม่าน ประยุกต์เป็นผ้าปูโต๊ะ
– ทักษะการเพิ่มประสิทธิภาพหรือคุณภาพการใช้งานของสิ่งต่าง ๆ
การคิดเชิงประยุกต์จะให้วัตถุใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้การประยุกต์เพื่อปรับเปลี่ยนวัสดุให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพได้
ตัวอย่าง
– การเพิ่มคุณภาพของส้นรองเท้าโดยการประยุกต์ใส่เหล็กเกือกม้า
– การเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟให้สว่างมากขึ้นโดยการประยุกต์เอากระจกหรืออลูมิเนียมสะท้อนแสงมาติดโดยรอบ
3. สถานการณ์ที่ต้องตอบคำถามว่า “จะนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร”
– ใช้ทักษะการแปร “นามธรรม” เป็น “รูปธรรม”
การคิดเชิงประยุกต์ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมจากความรู้หรือแนวคิดที่เป็น “นามธรรม” ในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งการไม่คิดเชิงประยุกต์อย่างรอบคอบอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น สิ่งที่มีลักษณะเป็นแนวคิดเชิงนามธรรม อันได้แก่ แนวคิดเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น กรอบแนวคิดทางคุณธรรมหรือแนวคิดใด ๆ ก็ตามที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้คนปฏิบัติตาม จำเป็นต้องมีการประยุกต์เป็นแนวทางปฏิบัติ ซึ่งจำเป็นต้องใช้การคิดเชิงประยุกต์อย่างเหมาะสม เพื่อทำให้แนวทางปฏิบัติสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเข้าใจและสามารถกระทำตามได้
ตัวอย่าง
รัฐมีแนวคิดเชิงนามธรรม ….สาเหตุจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นเพราะการไม่สวมหมวกกันน๊อคของผู้ขับขี่และซ้อนรถจักรยานยนต์”
แนวคิดเชิงรูปธรรม …ออกกฎหมายให้ผู้ขับขี่และซ้อนรถจักรยานยนต์สวมหมวกกันน๊อค หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกจับและปรับ
ผลที่เกิดขึ้น
– ประชาชนบางส่วนตอบสนองแนวความคิดนี้ ยินดีปฏิบัติตาม
– ประชาชนบางส่วนยินดีปฏิบัติตาม เพราะกลัวถูกจับและปรับ
– ประชาชนบางส่วนปฏิบัติตาม แต่ใช้หมวกกันน๊อกราคาถูก ไม่มีคุณภาพในการป้องกันการกระแทกมาใส่ เพราะกลัวถูกจับและปรับ
– ประชาชนบางส่วนไม่ยินดีปฏิบัติตาม ด้วยเหตุผลหลากหลาย
– เกิดพ่อค้ารายใหม่ ๆ ผลิตหมวกกันน๊อคราคาถูก
– ใช้ทักษะการนำสิ่งหนึ่งจาก “บริบทเดิม” มาใช้เป็น “บริบทใหม่”
สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมในบริบทหนึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาเมื่อนำไปใช้กับอีกบริบทหนึ่ง เนื่องจากองค์ประกอบที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ บริบททางวัฒนธรรม สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่แตกต่างจากบริบทเดิม ดังนั้น เราสามารถปรับให้เหมาะสมกับบริบทสังคมของเราได้ ประเด็นสำคัญ คือ ไม่ต้องเสียหลักการ หรือพลาดไปจากวัตถุประสงค์ที่ควรจะเป็น ซึ่งเมื่อบริบทแวดล้อมเปลี่ยนไป ต้องมีการประยุกต์เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
ตัวอย่าง
ต้นไม้เมืองหนาว ถ้านำไปปลูกในเมืองร้อน จากที่เคยออกดอกออกผลงอกงาม อาจแคระแกร็น เหี่ยวเฉา ตายได้ในที่สุด ถ้าเราทำการปรับปรุงพันธุ์ต้นไม้เมืองหนาวให้เข้ากับสภาพอากาศร้อนได้ หรือนำไปปลูกไว้ในยอดเขาที่มีอากาศค่อนข้างหนาว จะทำให้ต้นไม้เมืองหนาวสามารถเจริญงอกงามได้ในพื้นที่เขตร้อนได้