“มะเร็งตับ” ชายไทยพึงระวัง
“มะเร็งตับ” ชายไทยพึงระวัง
• คุณภาพชีวิต
เสี่ยงมากกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า
มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่รุนแรงชนิดหนึ่งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งในผู้ชายไทย มะเร็งตับพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 เท่าขึ้นไป โรคมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทย มี 2 ชนิดคือ โรคมะเร็งของเซลล์ตับ และโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งโรคมะเร็งในท่อน้ำดีจะพบมากในภาคอีสานภาคเหนือ การรักษาโรคตับยังไม่ดีเท่าที่ควร มีอัตราการรอดชีวิตต่ำมาก
ปัจจัยเสี่ยง: ที่สำคัญของการเกิดมะเร็งตับ
1. ไวรัสตับอักเสบ
ส่วนใหญ่ร้อยละ 75-80 ของผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบบีร้อยละ 50-55 และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ร้อยละ 25-30 โดยผู้ที่เป็นพาหะของ ไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงมากกว่าคนที่ไม่เป็นพาหะ ถึง 100-400 เท่า
2. เป็นโรคตับแข็ง
3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
มีการศึกษาพบว่าถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 41-80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 1.5 เท่า และถ้า ดื่มมากกว่า 80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเป็น 7.3 เท่าเมื่อ เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้อย กว่า 40 กรัมต่อวัน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับจะำไม่ลด ลง แม้ว่าจะหยุดดื่มแล้วก็ตาม
4. สารอัลฟลาท็อกซิน Aflatoxin
ซึ่งเกิดจากเชื้อราบางชนิด พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง เป็นต้น ผู้ที่ตรวจ
พบว่ามีสารอัลฟลาท็อกซิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ 5.0-9.1 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้
ที่ตรวจไม่พบสารดังกล่าวในร่างกาย
กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ คือ
1. ผู้ป่วยโรคตับแข็งทั้งเพศหญิงและชาย ซึ่งมีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูงถึง 1-4 %ต่อปี
2. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี
หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอดหรือวัยเด็ก และยังไม่มีโรคตับแข็ง แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงในเพศชาย อายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่้า 50 ปี หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
3. ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว
การตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับไม่แนะนำสำหรับประชากรทั่วไปเนื่องจากมีอัตรา
การเกิดมะเร็งตับต่ำมาก เพียงประมาณ 0.0005 % ต่อปี เท่านั้น
วิธีการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ ทำได้โดย
– ตรวจเลือดหาค่า Alfa-fetoprotein (AFP)
– การทำอัลตร้าซาวน์ตับ
ควรตรวจคัดกรองมะเร็งตับบ่อยเพียงใด
ควรตรวจทุก ๆ 6 เดือน
วิธีการรักษา
แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่
1. การรักษาเพื่อหวังผลหายขาด ได้แก่ การรักษาด้วย การทำผ่าตัดหรือการเปลี่ยนตับใหม่ การรักษามะเร็งตับ ที่หวังผลหายขาด คือ การผ่าตัด แต่มีประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยเท่านั้นที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดรักษา
การปลูกถ่ายตับ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับใหม่สำหรับมะเร็งตับ
เกณฑ์กำหนดผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อการปลูกถ่ายตับ คือ
1. ก้อนมะเร็งขนาดเล็กกว่า 5 เซ็นติเมตร
2. จำนวนก้อนมะเร็งมีจำนวนไม่เกิน 3 ก้อน และแต่ละก้อนมีขนาดเล็กกว่า 3 เซ็นติเมตร และ
ทั้งหมดอยู่ในกลีบตับข้างเดียวกัน
3. ไม่มีการลุกลามไปยังเส้นเลือด
4. ไม่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น
2. การรักษาแบบประคับประคอง
เพื่อช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยให้ยืนยาวออกไป ได้แก่ การสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่
หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็งร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด หรือการฉีด ethanol หรือaceticacid เข้าไปที่ก้อน
มะเร็ง รวมถึงวิธีการใช้ความร้อนทำลายก้อนมะเร็ง
ที่มา: ศูนย์มะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์