โรคพิษสุนัขบ้า “ยิ่งร้อน” ก็ “ยิ่งร้าย”
โรคพิษสุนัขบ้า “ยิ่งร้อน” ก็ “ยิ่งร้าย”
• คุณภาพชีวิต
โรคพิษสุนัขบ้า “ยิ่งร้อน” ก็ “ยิ่งร้าย”
ชี้ทำแขนขาอ่อนแรง ถึงตายได้
เข้าสู่ “ฤดูร้อน” แล้ว อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่คนไทยต้องระวังให้ดีก็คือ “โรคพิษสุนัขบ้า” ซึ่งปี 2552 นี้ เฉพาะในกรุงเทพฯ เฉพาะที่มีการรายงาน ตั้งแต่เดือน ม.ค. มาก็มีผู้เป็น “เหยื่อโรคพิษสุนัขบ้า” จนต้อง “เสียชีวิต” แล้ว 3 ราย ทั้งนี้ ตลอดปีนี้ในภาพรวมทั่วประเทศจะสูญเสียรวมเท่าไหร่…ก็น่าคิด ?!?
ที่ผ่านมาโรคพิษสุนัขบ้าไม่สามารถรักษาอย่างได้ผล
แต่ในอนาคตอันใกล้ก็มีความหวังจากงานวิจัยใหม่ ๆ
“การใช้วิธีเพาะเลี้ยงเชื้อจากน้ำลายเพื่อการวินิจฉัยต้องใช้เวลานาน และอาจไม่ทันต่อการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายไปยังผู้ใกล้ชิด ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผล การรักษาตามที่รายงานในสหรัฐก็พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ ซึ่งสาเหตุการรอดชีวิตขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและภาวะตอบสนองพิเศษของผู้ป่วย”
…เป็นการระบุของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แกนหลักของคณะวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากฝ่ายวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในการศึกษาโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งรวมกลไกการเกิดโรค การวินิจฉัยโดยใช้คอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอ็มอาร์ไอ (MRI) ร่วมกับการวินิจฉัยทางอณูชีววิทยา แทนการวินิจฉัยแบบเดิมที่วิเคราะห์ผู้ป่วยจากอาการกลัวน้ำกลัวลมเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดสูง
ทั้งนี้ จากการศึกษาด้วยเอ็มอาร์ไอในผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้า และจากการที่คณะวิจัยได้ทำการศึกษาสุนัขที่เป็นบ้าด้วย ก็พบข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการจัดการกับโรคนี้ รวมถึงอีกงานวิจัยที่สำคัญในการตรวจวินิจฉัยก่อนที่ผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าจะเสียชีวิต คือการตรวจหาอาร์เอ็นเอ (RNA) ในปัสสาวะผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจจากปมรากผม เป็นครั้งแรก จากเดิมที่การตรวจแบบเดิมจะใช้น้ำไขสันหลังหรือน้ำลายเท่านั้น การตรวจ วิเคราะห์แบบใหม่ที่ใช้กระบวนการทางอณูชีววิทยานี้ ช่วยให้การเก็บสิ่งส่งตรวจทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น เมื่อตรวจน้ำลาย ปัสสาวะ ปมรากผม พร้อมกัน ก็จะมีความไวและแม่นยำมากขึ้น โดยไม่ต้องตรวจจากน้ำไขสันหลัง นี่นับเป็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม
และในส่วนของประเทศไทยโดยตรง จากการศึกษาไวรัสด้วยวิธีทางอณูชีววิทยา ทำให้ขยายขอบเขตครอบคลุมไปถึงการประยุกต์ใช้สายพันธุ์ของไวรัสในการระบุตำแหน่งที่มา และทิศทางของการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า โดยพบว่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 5 จังหวัดที่มีประชากรหนาแน่น (นนทบุรี, ปทุมธานี, นครปฐม, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร) กับจังหวัดที่มีประชากรเบาบางกว่า ได้แก่ กาญจนบุรี และชัยภูมิ เมื่อแยกไวรัสออกตามลักษณะของพันธุกรรม สามารถจัดแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม โดย 4 กลุ่มปะปนปนเปในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในขณะที่กาญจนบุรีและชัยภูมิมีไวรัสแยกกลุ่มชัดเจนไม่มีการปะปน
ข้อมูลที่พบนี้มีความสัมพันธ์กับปัจจัยจากคน ทั้งการอาศัยแออัด ความไม่ใส่ใจการเลี้ยงดูสุนัข ซึ่งทำให้มีการแพร่ระบาดข้ามถิ่นได้ง่าย และเมื่อทำการศึกษาขยายผลเพิ่มเติมทั่วประเทศยังได้พบลักษณะการกระจายตัวดังกล่าว จังหวัดหรือพื้นที่ใดเมื่อมีการปะปนของไวรัสมากกว่า 2 สายพันธุ์ขึ้นไป จะพบว่ามีความซับซ้อนแออัดในโครงสร้างของประชากร และอาคารบ้านเรือน รวมทั้งจากการที่เป็นศูนย์กลางของการคมนาคม เช่น เป็นชุมทางของรถโดยสารหลาย ๆ จังหวัด ทำให้ระบุความยากง่ายของพื้นที่ในการควบคุมสุนัขได้ ทั้งนี้ จากการทราบสายพันธุ์ของไวรัสทั่วประเทศ ก็จะนำไปสู่ การพัฒนาวิธีการตรวจไวรัสที่ให้ผลแม่นยำขึ้น !!
ในส่วนของอาการของโรค โดยเฉพาะอาการอ่อนแรง อัมพาตแขนขา ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ค่อยมีอาการดุร้าย กระวนกระวาย จากการศึกษาทางไฟฟ้ากระแสประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้ระบุโครงสร้างได้ว่า เกิดเส้นประสาทที่ผิดปกติ ไม่ใช่ไขสันหลังที่ติดเชื้อ โดยที่กลไกดังกล่าว ต่างจากไวรัสชนิดอื่น ๆ ที่ให้อาการอ่อนแรงของแขนขาเหมือนกัน เช่น ไวรัสเวสไนล์ และโปลิโอ นอกจากนี้ การศึกษาทางกลไกความเสียหาย ในสมองและไขสันหลัง พบว่าไขสันหลังมีกระบวนการที่ทนทานมาก กว่าสมอง ทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ไวรัสต้องการทางวิ่งจากไขสันหลังขึ้นสู่ด้านบน คือก้านสมองและสมองใหญ่ ซึ่งผู้วิจัยก็ได้ศึกษาเพื่อเจาะลึกต่อไป
ทั้งนี้ ข้อมูลที่พบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์มากต่อการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย และระดับนานาชาติ ทั้งในเชิงนโยบาย การนำไปปฏิบัติ และด้านกลไกการเกิดโรค
คณะวิจัยได้ประสานกับกรมควบคุมโรคติดต่อ กรมปศุสัตว์ สถานเสาวภา องค์การระหว่างประเทศ อาทิ องค์การอนามัยโลก องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการรับรู้ข้อมูลและการนำผลการวิจัยไปใช้ควบคุมและรักษา “โรคพิษสุนัขบ้า” และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าและอบรมโรคไวรัสจากสัตว์สู่คน ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2551 โดยมีงานส่วนอื่นที่เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสตัวอื่นผ่านทาง “ค้างคาว” ด้วย ขณะที่ ศ.นพ. ธีระวัฒน์ ก็ได้รับเชิญให้เขียนเรื่องโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่วิทยาลัยแพทย์ของสหรัฐ และในตำราโรคติดเชื้อทางสมองของสหรัฐและอังกฤษ
นักวิจัยไทย-งานวิจัยไทย…กำลังสร้างชื่อ-สร้างความหวัง
แต่เฉพาะหน้าช่วงนี้…คนไทยก็จะต้องระมัดระวังกันให้ดี
อย่าประมาท…จน “พิษสุนัขบ้า” ล่าไปเป็นเหยื่อ !!!
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์