สุขภาพ : อ้วน-ท้องผูก-ไอเรื้อรัง ระวัง! ‘ริดสีดวงทวาร’

สุขภาพ : อ้วน-ท้องผูก-ไอเรื้อรัง ระวัง! ‘ริดสีดวงทวาร’

บริเวณทวารหนักมีหลอดเลือดดำ 3 เส้น ซึ่งปกติจะขยายตัวขณะถ่ายอุจจาระและหดตัวหลังการถ่าย เมื่อหลอดเลือดดำบริเวณวทวารหนักโป่งพอง ก็จะกลายเป็นริดสีดวงทวาร ซึ่งจะกดทับเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด คันและมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่าย

ตำแหน่งของริดสีดวงทวารอาจอยู่ข้างในหรือข้างนอกของรูเปิดทวารหนัก ริดสีดวงภายนอกมักทำให้เกิดอาการปวดมากกว่า ส่วนริดสีดวงภายในจะทำให้เกิดเลือดออกได้ง่ายกว่า แม้ว่าริดสีดวงทวารจะไม่มีอาการที่รุนแรงหรืออันตรายต่อชีวิต แต่มีผู้ที่กำลังเป็นอยู่หรือเคยเป็นเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งถึงความทรมานและความน่ารำคาญของมันได้

ริดสีดวงทวารเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดดำสูง อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระ ท้องผูก การนั่งนานๆ การตั้งครรภ์ ความอ้วน การรับประทาน อาหารที่มีกากใยน้อย ไอเรื้อรัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้อง เช่น ตับแข็งทำให้ภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก ก้อนเนื้องอกในท้อง มะเร็งสำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น

สำหรับทัศนะการแพทย์จีน ริดสีดวงทวารเกิดจากภาวะพิษร้อน – ชื้นที่สะสมในร่างกายมีการรวมตัวลงสู่ทวารหนัก กีดขวางการไหลเวียนของเลือดและพลังลมปราณ ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนเลือดขนาดเล็กบริเวณทวารหนักผิดปกติ จึงเกิดเลือดคั่งในหลอดเลือดดำจนโป่งพองไปกดทับเส้นประสาทปบริเวณทวารหนัก

การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีกระตุ้นการไหลเวียของโลหิต สลายเลือดคั่ง ขับพิษร้อน – ชื้นและแก้ปวดบวม ในการบำบัดต้นเหตุของริดสีดวงทวาร ซึ่งมีกลไลออกฤทธิ์สำคัญ ดังนี้

– กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สลายเลือดคั่ง ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดขนาดเล็ก (Microcirculation) บริเวณทวารหนักทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก

– ลดอาการอักเสบและบวมน้ำบริเวณทวารหนัก เพื่อลดการกดทับต่อเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง จึงลดอาการปวดและคันได้อย่างเด่นชัด

– ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก จึงลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาการปวด คัน บวมน้ำ อาการถ่ายอุจจาระมีเลือดออก และอาการอื่นๆ ของริดสีดวงทวารจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด นอกจากนี้ วิธีการบำบัดดังกล่าวยังเหมาะกับแผลปริที่ปากทวารหนักอีกด้วย

การป้องกันและดูแลตนเอง

1. ควรระวังอย่าให้ท้องผูกเรื้อรัง หรืออย่าเบ่งแรงๆ หรือนานๆเวลาถ่ายอุจจาระ ควรรับประทานน้ำ ผัก ผลไม้ให้มากๆ เพื่อไม่ให้ท้องผูก หรืออาจใช้ยาระบายช่วยเป็นครั้งคราว ถ้ามีอาการมากควรไปพบแพทย์ เพราะอาจต้องรักษาโดยการผ่าตัด

2. ป้องกันไม่ให้มีการอักเสบหรือติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยทำความสะอาดหลังอุจจาระด้วยสบู่และน้ำสะอาด การเช็ดแรงๆ จะทำให้อักเสบและติดเชื้อโรคง่าย

3. ถ้าปวดมาก ให้กินยาแก้ปวดและนั่งแช่ในน้ำอุ่น ผสมด่างทับทิมนาน 15 – 30 นาที วันละ 2 – 3 ครั้ง

4. ถ้าเลือดออกบ่อยๆ ให้สังเกตว่าเยื่อบุตาและเนื้อใต้เล็บซีดกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ถ้าซีดควรไปพบแพทย์

5. ถ้ามีเลือดออกนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือผู้ป่วยเกิน 40 ปี ควรไปพบแพทย์เพราะอาจมีโรคอื่นๆร่วมด้วย

เพชรสังฆาต ใช้ลำต้นสดหรือแห้งครั้งละ 2 – 3 องคุลี (6 – 9 ซม.) เป็นเวลา 10 – 15 วันติดต่อกัน โดยหั่นบางๆ ใช้เนื้อมะขามเปียกหรือเนื้อกล้วยสุกหุ้ม กลืนทั้งหมด เพราะเถาสดอาจทำให้คันคอหรือใช้ดองเหล้า 7 วัน รินเฉพาะส่วนน้ำดื่ม

ข้อควรระวัง ในต้นมีสารแคลเซียมออกซาเลท เป็นผลึกรูปเข็มอยู่มาก ทำให้ระคายเคืองลำคอได้เช่นเดียวกับบอน จึงนิยมสอดไส้ในกล้วยสุกหรือมะขามแล้วกลืนพร้อมกัน ปัจจุบันมีผู้ใช้เถาแห้ง บดเป็นผง และบรรจุแคปซูลรับประทานเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ยังคงสามารถทำให้ผู้ใช้บางคนปวดท้องได้

สูตรอาหารรักษาริดสีดวงทวาร

มี 3 สูตรให้เลือกใช้ตามความสะดวก คือ

1. นำมะระจีน 1 ลูก คั้นแต่น้ำ (ไม่ต้องเติมน้ำ) เติมเกลือ ครึ่งช้อนชา และ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มระหว่างตี 5 – 7 โมง ต้องทำสดๆ

2. นำกล้วยหอม 2 ลูก ไม่ต้องปอกเปลือก สไลด์ทั้งเปลือกเป็นแผ่นบางๆ ใส่ในภาชนะ เติมน้ำแค่ท่วม ต้มจนเดือด เติมน้ำตาลกรวด ดื่มทั้งวันจนหมด

3. กินกล้วยหอม 2 ลูกตอนเย็น

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก: สมุนไพรดอทคอม

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบ: อินเทอร์เน็ต

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *